คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2457/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จะรื้อบ้านของโจทก์ จำเลยไม่ยอมให้รื้อ อ้างว่าเป็นของจำเลย ถ้ารื้อจะให้ตำรวจจับ แต่จะยอมให้รื้อถ้าโจทก์ให้เงินจำนวนหนึ่งแก่จำเลย ดังนี้ เป็นเรื่องโต้เถียงกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทในทางแพ่ง จำเลยพูดว่าจะใช้สิทธิอันชอบด้วยกฎหมายและพูดเป็นทำนองเสนอข้อแลกเปลี่ยนเพื่อระงับข้อพิพาท ไม่เป็นการข่มขืนใจโจทก์ให้ยอมให้เงินหรือยอมสัญญาจะให้เงินแก่จำเลย ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานกรรโชก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรโจทก์พูดขู่เข็ญโจทก์และบริวารมิให้รื้อบ้านของโจทก์ ว่าถ้าขืนรื้อจะให้ตำรวจจับแต่ถ้ายอมให้เงิน 30,000 บาทแก่จำเลย จึงจะยอมให้รื้อได้ ต่อมาจำเลยทั้งสองมาพูดให้โจทก์เขียนเช็คจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337, 83

ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ว่าคำฟ้องของโจทก์ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ขอให้ไต่สวนมูลฟ้องของโจทก์ต่อไป

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มีใจความว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 169/36 โดยปลูกให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรอาศัยอยู่ชั่วคราว โจทก์จะรื้อบ้านดังกล่าว แต่จำเลยไม่ยอมให้รื้อ โดยอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1 เห็นว่า เป็นเรื่องคู่กรณีโต้เถียงกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทกันในทางแพ่งที่จำเลยพูดว่าถ้าโจทก์กับบริวารจะรื้อบ้านพิพาท จะให้ตำรวจจับ และว่าจะยอมให้รื้อต่อเมื่อโจทก์นำเงินมาให้จำเลยที่ 1 จำนวน 30,000 บาท ก็เป็นการพูดว่าจะใช้สิทธิอันชอบด้วยกฎหมายและพูดเป็นทำนองเสนอข้อแลกเปลี่ยนเพื่อระงับข้อพิพาท ไม่เป็นการข่มขืนใจโจทก์ให้ยอมให้เงินหรือยอมจะให้เงินแก่จำเลย ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องยังถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานกรรโชก

พิพากษายืน

Share