แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 เป็นสหกรณ์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล มีคณะกรรมการดำเนินงานเป็นผู้ดำเนินกิจการและเป็นผู้แทนเมื่อคณะกรรมการดำเนินงานได้มีมติตามข้อบังคับของโจทก์ที่ 1มอบหมายให้กรรมการ 2 นายเป็นผู้ดำเนินคดีกับจำเลยแทนโจทก์ที่ 1 แล้ว โจทก์ที่ 1 โดยกรรมการ 2 นายนั้นก็ฟ้องจำเลยได้ หาเป็นการขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 801(5) ไม่
โจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 จัดซื้อข้าวโพดคนเดียวจำเลยที่ 2 เข้าไปร่วมซื้อข้าวโพดกับจำเลยที่ 1 เองโดยไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับโจทก์ที่ 1 ในเรื่องที่ขอรับเงินทดรองไปซื้อข้าวโพดส่งไปเหมือนกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าซื้อข้าวโพดส่งไปจากโจทก์ที่ 1
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งพิจารณารวมกัน ศาลฎีกาเรียกสหกรณ์การเกษตรหนองไผ่ จำกัด ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรก และเป็นจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 1 นายสนิท มิ่งทัศน์ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2 นายประมวล บัณฑิตเนตร ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 3 และเรียกนายหวาน นาคะบุตร ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกและเป็นโจทก์ที่ 1 ในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 1 นายวิชัย ปอยเทียบ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกและเป็นโจทก์ที่ 2 ในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 2 นายสิงห์โต ศรีบุตรดี ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 3
สำนวนแรกโจทก์ที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 270,964.52 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ 1 จะได้ชำระเงินให้โจทก์ที่ 1 เสร็จ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระก็ให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ได้จำนองไว้กับโจทก์ที่ 1 เป็นการประกันการชำระหนี้จำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้โจทก์ที่ 1
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ตัวแทนของโจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องการมอบอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฯลฯ
สำนวนหลัง จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฟ้องโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ขอให้ศาลพิพากษาบังคับโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ชำระเงินค่าข้าวโพด 387,242 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 1 ยังเป็นลูกหนี้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 270,964.52 บาท ซึ่งโจทก์ที่ 1 ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ในสำนวนแรก ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ในสำนวนแรก และยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในสำนวนหลัง
โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 1 270,964.52 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะได้ชำระเงินเสร็จ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ได้จำนองไว้กับโจทก์ที่ 1 ออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้โจทก์ที่ 1 ในวงเงิน ไม่เกิน 200,000 บาท นอกจากที่แก้นี้แล้วให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ฎีกาทั้งสองสำนวน
ปัญหาในชั้นฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 หรือไม่ จำเลยที่ 2 มีอำนาจฟ้องโจทก์ที่ 1 หรือไม่ และโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้จำเลยที่ 1 หรือไม่
คดีได้ความว่า โจทก์ที่ 1 เป็นสหกรณ์ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 มาตรา 24 บัญญัติว่า ให้มีคณะกรรมการดำเนินการของสหกรณ์ จำกัด คณะหนึ่งประกอบด้วยกรรมการซึ่งที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งจากสมาชิกเป็นผู้ดำเนินกิจการและเป็นผู้แทนสหกรณ์ จำกัด ในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอกเพื่อการนี้คณะกรรมการจะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนทำการแทนก็ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 69 บัญญัติว่านิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ต้องตามบทบัญญัติทั้งปวงแห่งกฎหมาย ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของตน ดังมีกำหนดไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง มีข้อบังคับของโจทก์ที่ 1 ข้อ 63 หน้า 23 ว่า ให้คณะกรรมการดำเนินการเป็นผู้ดำเนินกิจการทั้งปวงและเป็นผู้แทนของโจทก์ที่ 1 ในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอกให้เป็นไปตามกฎหมายข้อบังคับและมติของที่ประชุมใหญ่ซึ่งรวมทั้งในข้อย่อยที่ (27) ว่า ให้ฟ้อง ต่อสู้ หรือดำเนินคดีเกี่ยวกับกิจการของโจทก์ที่ 1 หรือประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา และข้อ 64 หน้า 23 ว่า การมอบหมายให้กรรมการทำการแทนในการดำเนินกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอกคณะกรรมการดำเนินการจะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนทำการแทนก็ได้ ข้อนี้ฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 โดยคณะกรรมการดำเนินการได้มีมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 12 วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2513 ให้นายสุบิน มีประจำ กับนายสวย จันทรโชติ ซึ่งต่างก็เป็นกรรมการฟ้องจำเลย ตามสมุดรายงานการประชุมคณะกรรมการดำเนินการ หน้า 167 แล้วต่อมาคณะกรรมการดำเนินการได้มีมติที่ประชุม ครั้งที่ 14 วันที่ 5 เมษายน 2513ให้นายประมวล บัณฑิตเนตร เป็นผู้มีอำนาจฟ้องจำเลยแทนนายสุบินซึ่งขอถอนตัวตามสมุดรายงานการประชุมคณะกรรมการดำเนินการหน้า 182 กรณีจึงเป็นที่เห็นได้ว่า การที่คณะกรรมการดำเนินการได้มอบหมายดังกล่าว เป็นไปตามข้อบังคับของโจทก์ที่ 1 ซึ่งหมายความว่า นายประมวลและนายสวยได้เป็นผู้แทนของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลหรือนัยหนึ่งโจทก์ที่ 1 โดยผู้แทนของนิติบุคคลได้ฟ้องคดีเอง จึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 801 (5) ดังที่จำเลยฎีกา โจทก์ที่ 1 จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขายข้าวโพดและมีส่วนได้เสียในหนี้สินระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องโจทก์ที่ 1ด้วยนั้น จำเลยที่ 2 เบิกความว่า โจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 จัดซื้อข้าวโพดคนเดียว จำเลยที่ 2 เข้าไปร่วมซื้อข้าวโพดกับจำเลยที่ 1 เอง เห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับโจทก์ที่ 1 ในเรื่องที่ขอรับเงินทดรองไปซื้อข้าวโพดส่งไปเหมือนกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าซื้อข้าวโพดส่งไปจากโจทก์ที่ 1
ส่วนข้อเท็จจริงนั้นศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ที่ 1 ตามฟ้อง
พิพากษายืน