แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยว่าจ้างให้โจทก์สร้างบ้าน โจทก์ทำการก่อสร้างและรับเงินไปแล้ว 3 งวด คงเหลืองานงวดที่ 4 อันเป็นงวดสุดท้าย เมื่อสัญญาว่าจ้างไม่ได้กำหนดระยะเวลาการก่อสร้างไว้ชัดแจ้งและจำเลยเห็นว่าหากให้โจทก์ทำการก่อสร้างต่อไปจะเกิดความเสียหายเพราะงานล่าช้ามาก จำเลยจะเลิกสัญญาได้ก็ต้องบอกกล่าวกำหนดเวลาพอสมควรให้โจทก์ปฏิบัติเสียก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 แต่จำเลยมิได้ทำเช่นนั้นจึงบอกเลิกสัญญาด้วยเหตุดังกล่าวไม่ได้ การที่โจทก์ขอทำการก่อสร้างต่อไปและจำเลยไม่ยอมโดยบอกเลิกสัญญากับโจทก์ จึงเป็นเรื่องที่จำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยไม่ชอบและจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจกท์เพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 605
ค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์ในกรณีผิดสัญญาว่าจ้างนั้น เมื่อสัญญาว่าจ้างเป็นการจ้างเหมารวมทั้งค่าวัสดุกับค่าแรงงานโดยแบ่งผลงานไว้เป็น 4 งวด มีการจ่ายเงินแล้ว 3 งวด คงเหลือยังไม่ได้จ่ายเฉพาะงวดที่ 4 และงานที่โจทก์ทำให้จำเลยมาแล้วไม่มีการชำรุดบกพร่อง โจทก์จึงมีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนเงินค่าจ้างงวดที่ 4 กับเงินค่าจ้างที่จำเลยให้โจทก์ทำการก่อสร้างเพิ่มเติมนอกเหนือจากรายการตามสัญญา โดยนำราคางานที่โจทก์ยังไม่ได้ทำให้จำเลยไปหักออกจากยอดเงินดังกล่าวก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ให้สร้างบ้านในที่ดินของจำเลยโดยจ้างเหมารวมทั้งค่าวัสดุและค่าแรงงานเป็นเงิน ๔๒๐,๐๐๐ บาท ตกลงจ่ายเป็นงวด ๆ ชำระในวันทำสัญญา ๑๐๐,๐๐๐ บาท งวดต่อไปถือเอาความสำเร็จของงานแต่ละงวดเป็นกำหนดชำระราคา ปรากฏตามสัญญาท้ายฟ้อง โจทก์ทำงานเสร็จงวดที่ ๒ แล้วจำเลยจ่ายเงินให้เพียง ๘๑,๔๙๓ บาท เพราะหักค่าวัสดุที่จำเลยซื้อมาเอง โจทก์ก็ยอม งวดที่ ๓ จำเลยจ่ายให้โจทก์เพียง ๘๖,๗๐๐ บาท โดยจำเลยหักค่าไม้ที่จำเลยซื้อมาซึ่งโจทก์ก็ยอม งานงวดที่ ๓ นี้โจทก์ทำงานเพิ่มพิเศษนอกเหนือจากสัญญาคิดเป็นค่าจ้างเพิ่มขึ้นอีก ๑๓,๑๒๐ บาท จำเลยไม่ยอมจ่ายค่าจ้างเพิ่มให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยให้ทนายความบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ โจทก์แจ้งไปว่าจำเลยไม่มีสิทธิเลิกสัญญา โจทก์ได้ไปเจรจากับจำเลยเพื่อก่อสร้างให้เสร็จ แต่จำเลยไม่ยินยอมและไม่ชำระค่าก่อสร้างที่ค้างด้วย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญากับจำเลย โจทก์ไม่ได้ผิดสัญญา จำเลยจะบอกเลิกสัญญาไม่ได้ เพราะไม่ได้บอกกล่าวกำหนดเวลาพอสมควรให้โจทก์ทำงานให้แล้วเสร็จก่อน โจทก์ทำงานงวดที่สี่เสร็จแล้ว ซึ่งงวดนี้โจทก์มีสิทธิได้รับเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท หักงานที่ยังไม่แล้วเสร็จออกโจทก์มีสิทธิได้รับเงินอีก ๘๖,๘๐๐ บาท เป็นค่าจ้างที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์ ๙๙,๙๒๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยตกลงจ้างโจทก์สร้างบ้านให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน จำเลยชำระค่าจ้างไปแล้ว ๓ งวด ในงวดที่ ๓ จำเลยให้โจทก์ทำงานเพิ่มเพียงติดตั้งวงกบเป็นเงิน ๔,๑๖๕ บาทเท่านั้นการก่อสร้างงวดที่ ๔ โจทก์ยังมิได้เริ่มก่อสร้างงวดที่ ๓ ยังไม่แล้วเสร็จ งานงวดที่ ๔ หมายถึงงานต้องเสร็จสมบูรณ์อยู่อาศัยได้ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้เริ่มงานงวดที่ ๔ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับงวดนี้ เหตุที่จำเลยเลิกสัญญาเพราะโจทก์ไม่จัดหาวัสดุที่ได้มาตรฐานมาใช้ ไม่จัดหาช่างฝีมือดี ไม่ก่อสร้างตามแบบแปลนและไม่ก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน กับทิ้งงานไปโดยหาเหตุจากการที่จำเลยไม่จ่ายค่าจ้างพิเศษนอกเหนือจากสัญญาให้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่ได้บรรยายว่าจำเลยผิดสัญญาอย่างไร และขอฟ้องแย้งว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ก่อสร้างให้เสร็จภายในกำหนด ทอดทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล ไม่ใช้วัสดุและสัมภาระที่ดีพร้อมทั้งหาช่างฝีมือดีมาทำการก่อสร้างตามแบบแปลน การก่อสร้างงวดที่ ๓ ยังไม่แล้วเสร็จแต่โจทก์รับเงินค่าจ้างไปแล้วครบ ๓ งวด โจทก์ทอดทิ้งงานเป็นเหตุให้จำเลยบอกเลิกสัญญา และปรากฏว่ามีงานก่อสร้างที่ยังทำไม่เสร็จและมีข้อบกพร่องต้องแก้ไขรวม ๑๗ รายการ รวมราคาค่าก่อสร้างซ่อมแซมเป็นเงิน ๑๒๕,๐๐๐ บาท จำเลยได้ให้ผู้รับเหมารายใหม่มาจัดการแก้ไขและจ่ายค่าจ้างไปแล้วเป็นเงินเกินค่าจ้างงวดที่ ๔ ที่โจทก์มีสิทธิได้รับเป็นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท โจทก์ต้องรับผิด ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ชำระเงิน ๒๕,๐๐๐ บาทแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยผิดสัญญาตามฟ้องแย้งไม่เคยผิดข้อตกลงเรื่องระยะเวลาก่อสร้างและจำเลยไม่ได้ถือระยะเวลาเป็นสำคัญโจทก์ไม่เคยทอดทิ้งงาน โจทก์จะทำงานต่อไปแล้วแต่จำเลยไม่ยินยอม จึงเป็นความผิดของจำเลยเอง โจทก์จัดหาวัสดุและสัมภาระที่ดีกับจัดหาช่างฝีมือมาทำก่อสร้างถูกต้องตามสัญญาแล้วโดยจำเลยให้บิดามาควบคุมการก่อสร้าง ในสัญญามิได้ระบุไว้ให้โจทก์จะต้องทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จเมื่อใดและจำเลยมิได้ระบุไว้ให้โจทก์จะต้องทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จเมื่อใด และไม่ได้กำหนดเวลาพอสมควรให้โจทก์ทำให้แล้วเสร็จก่อน จำเลยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ข้อบกพร่อง ๑๗ รายการนั้นไม่เป็นความจริง ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุม ขอให้พิพากษายกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา พิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ๖๘,๒๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ๗ ครึ่ง ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยตกลงว่าจ้างโจทก์เป็นผู้ก่อสร้างบ้านรวมราคาค่าแรงและค่าวัสดุเป็นเงิน ๔๒๐,๐๐๐ บาท ตกลงจ่ายค่าจ้างเป็นงวดๆ ตามเอกสารหมาย จ.๔ ในระหว่างก่อสร้างงวดที่ ๓ จำเลยตกลงจ้างโจทก์ก่อสร้างเพิ่มเติมนอกจากที่ระบุไว้ในสัญญาคิดราคาเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยยังมิได้ชำระเงินส่วนนี้ให้โจทก์ โจทก์ก่อสร้างบ้านให้จำเลยและได้รับค่าจ้างงวดที่ ๓ ไปแล้ว งานงวดที่ ๓ โจทก์ยังทำงานบางส่วนไม่แล้วเสร็จ สำหรับงวดที่ ๔ โจทก์ยังทำไม่แล้วเสร็จ จำเลยได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์ โจทก์ปฏิเสธการบอกเลิกสัญญา โจทก์จำเลยได้เจรจากันโดยโจทก์ขอทำงานต่อให้แล้วเสร็จแต่จำเลยไม่ยอม ปัญหาข้อแรกที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยชอบแล้วนั้น เห็นว่า สัญญาว่าจ้างไม่มีข้อตกลงกันไว้แน่ชัดว่าโจทก์จะต้องทำให้เสร็จเมื่อใด ทั้งยังเหลืองานในงวดที่ ๔ อันเป็นงวดสุดท้ายเท่านั้น และจำเลยได้บอกเลิกสัญญาก็อ้างเหตุที่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเฉพาะเรื่องไม่ทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน โจทก์ทอดทิ้งงานและไม่จัดหาวัสดุกับช่างที่มีฝีมือมาทำการก่อสร้างให้ตรงตามแบบแปลนเท่านั้น ซึ่งข้อเท็จจริงได้ความชัดว่าสัญญาว่าจ้างเอกสารหมาย จ.๔ ไม่ได้กำหนดระยะเวลาการก่อสร้างไว้ด้วยแต่อย่างใด และยังไม่พอรับฟังว่าโจทก์ทอดทิ้งงาน ส่วนเรื่องโจทก์ใช้วัสดุไม่ได้คุณภาพและช่างไม่มีฝีมือก็รับฟังไม่ได้เช่นเดียวกัน เมื่อสัญญาจ้างไม่ได้กำหนดระยะเวลาการก่อสร้างไว้ชัดแจ้งและจำเลยเห็นว่าหากให้โจทก์ทำการก่อสร้างต่อไปจะเกิดความเสียหายเพราะงานล่าช้ามาก จำเลยจะเลิกสัญญาได้ก็ต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้โจทก์ปฏิบัติเสียก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๗ แต่จำเลยก็มิได้ทำเช่นนั้นจึงบอกเลิกสัญญาด้วยเหตุดังกล่าวไม่ได้ การที่โจทก์ขอทำการก่อสร้างต่อไปและจำเลยไม่ยอมโดยยืนยันให้เลิกสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๘ จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ได้แต่เป็นเรื่องจำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยไม่ชอบและต้องถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ปัญหาอีกข้อหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างงวดที่ ๔ และให้ค่าเสียหายแก่โจทก์มากไปนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องนี้จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๐๕ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าสัญญาว่าจ้างเป็นการจ้างเหมารวมทั้งค่าวัสดุและค่าแรงเป็นเงิน ๔๒๐,๐๐๐ บาทจ่ายเงินแล้ว ๓ งวดคงเหลือไม่ได้จ่ายเฉพาะงวดที่ ๔ เป็นเงิน๑๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น โจทก์จึงมีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามเงินจำนวนดังกล่าวกับเงินค่าจ้างที่จำเลยให้ทำการก่อสร้างเพิ่มเติมอีก ๑๐,๐๐๐ บาทรวมเป็นเงิน ๑๑๐,๐๐๐บาท แต่มีงานที่โจทก์ยังไม่ได้ทำให้จำเลยอีกหลายอย่างคิดราคารวมกันเป็นเงิน ๔๑,๗๕๐ บาท เมื่อหักเงินจำนวนนี้ออกจากยอดเงินที่จะได้รับ ๑๑๐,๐๐๐ บาท คงเหลือเป็นเงินที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับเป็นค่าเสียหาย ๖๘,๒๕๐ บาท ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองมิได้พิพากษายกฟ้องแย้งด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ และให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑,๒๐๐ บาทแทนโจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.