คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำให้การของจำเลยที่อ้างถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2 สับกันเห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะพิมพ์คลาดเคลื่อนไปโดยไม่มีเจตนาจะให้การเช่นนั้นเพราะถ้าได้มีการแก้ข้อผิดพลาดจากจำเลยที่ 1 เป็นจำเลยที่ 2 และจากจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยที่ 1 แล้ว ข้อต่อสู้ในคำให้การของจำเลยทั้งสองก็จะเป็นข้อเถียงตรงตามประเด็นในคำฟ้องทุกประการ ซึ่งการแก้คำที่พิมพ์ผิดพลาดเช่นนี้ ศาลมีอำนาจให้แก้ได้เสมอ แม้จะขอแก้ภายหลังชี้สองสถานก็แก้ได้ การที่ศาลชั้นต้นถือเอาคำให้การที่พิมพ์ผิดพลาดมาเป็นข้อวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 รับตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไม่มีประเด็นอื่น แล้วงดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงไม่ถูกต้อง ฉะนั้น เหตุที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่จึงชอบแล้วหาได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่ (อ้างฎีกาที่ 316-318/2500)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำหนังสือสัญญายกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 551ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหลานโดยเสน่หา โดยจำเลยที่ 1 รับจะเลี้ยงดูโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ด่าหมิ่นประมาทโจทก์ร้ายแรงและไม่ยอมเลี้ยงดูโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยสมยอมกันขอให้เพิกถอนทำลายนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง และเพิกถอนการให้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้จ่ายเงินให้แก่โจทก์เป็นค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงิน 3,000 บาท มิใช่เป็นการให้โดยเสน่หา จำเลยที่ 2ไม่เคยทะเลาะและไม่เคยดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทโจทก์ ไม่เคยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง การที่จำเลยที่ 2 โอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ได้กระทำไปโดยสุจริต โดยเปิดเผยและเสียค่าตอบแทน

ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่า ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองกลับยื่นคำให้การว่า จำเลยที่ 2เป็นผู้รับการยกที่ดินจากโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่ได้ยกข้อต่อสู้ว่าเป็นผู้รับการให้ และไม่ได้ต่อสู้ว่าไม่ได้หมิ่นประมาทโจทก์จึงไม่มีประเด็นนำสืบถือว่าจำเลยที่ 1 รับตามฟ้องและจำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่า ได้รับโอนที่พิพาทโดยสุจริต และมีค่าตอบแทนไม่มีประเด็นสืบเช่นกัน จึงฟังว่าจำเลยทั้งสองได้โอนและรับโอนที่พิพาทโดยรู้ว่าเป็นทางทำให้โจทก์ผู้ซึ่งจะเพิกถอนการให้ได้เสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลโจทก์พิพากษาให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 551 ระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้เพิกถอนการให้โดยเสน่หาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 โอนโฉนดเลขที่ 551 คืนให้โจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตามประเด็นที่โจทก์กล่าวอ้าง และจำเลยต่อสู้ต่อไป แล้วพิพากษาใหม่

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยที่อ้างถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2 สับกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะพิมพ์คลาดเคลื่อนไป โดยไม่มีเจตนาจะให้การเช่นนั้น เพราะถ้าได้มีการแก้ข้อผิดพลาดจากจำเลยที่ 1 เป็นจำเลยที่ 2 และจากจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยที่ 1 แล้ว ข้อต่อสู้ในคำให้การของจำเลยทั้งสองก็จะเป็นข้อเถียงตรงตามประเด็นในคำฟ้องทุกประการ ซึ่งการแก้คำที่พิมพ์ผิดพลาดเช่นนี้ศาลมีอำนาจให้แก้ได้เสมอแม้จะขอแก้ภายหลังชี้สองสถานก็แก้ได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180(ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 316 ถึง 318/2500) การที่ศาลชั้นต้นถือเอาคำให้การที่พิมพ์ผิดพลาดมาเป็นข้อวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 รับตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ ไม่มีประเด็นอื่นแล้วงดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงไม่ถูกต้อง ฉะนั้น เหตุที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ จึงชอบแล้ว หาได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอดังที่โจทก์ฎีกามาไม่

พิพากษายืน

Share