แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกง ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่าเป็นการผิดข้อตกลงในทางแพ่ง ไม่มีมูลเป็นความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยถึงข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยหลอกลวงโจทก์หรือไม่ เป็นการพิพากษาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเรื่องนี้ไว้แล้วว่า จำเลยไม่ได้ใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ พิพากษายืน ดังนี้ โจทก์จะฎีกาขอให้พิจารณาจากคำเบิกความของพยานในสำนวนอีกว่า ความจริงจำเลยหลอกลวงโจทก์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหาได้ไม่ เพราะต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499มาตรา 22
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยฉ้อโกงโจทก์โดยหลอกลวงว่าจะกู้เงินจากธนาคารให้โจทก์เพราะจำเลยมีบัญชีในธนาคาร โจทก์หลงเชื่อได้มอบโฉนดที่ดินกับลงชื่อค้ำประกันและทำหนังสือมอบอำนาจให้ ต่อมาธนาคารตกลงให้จำเลยกู้ยืม จำเลยขอเบิกเงินกู้ทั้งหมดไปแล้วไม่นำมาให้โจทก์ ขอให้ลงโทษ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า ตามคำเบิกความของโจทก์ปรากฏชัดว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยเป็นผู้กู้ โจทก์เป็นผู้จำนองที่ดินค้ำประกันการกู้ เมื่อจำเลยไม่นำเงินที่ได้จากการกู้มามอบให้โจทก์ เป็นการผิดข้อตกลงในทางแพ่งไม่มีมูลความผิดอาญาฐานฉ้อโกง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยถึงข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยหลอกลวงโจทก์หรือไม่ เป็นการพิพากษาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ว่า โจทก์ได้ตกลงกับจำเลยเช่นนั้น แปลได้ว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วว่า จำเลยไม่ได้ใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ กระทำการดังกล่าวด้วยความสมัครใจของโจทก์เองทั้งสิ้น พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยมิได้ใช้อุบายหลอกลวงโดยพิเคราะห์จากคำพิพากษาศาลชั้นต้น หาได้พิจารณาพยานที่มีอยู่ในสำนวนไม่จึงไม่ตรงกับคำพยานในสำนวนซึ่งปรากฏความจริงว่า จำเลยหลอกลวงจนโจทก์หลงเชื่อยอมตกลงด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลแขวงพิพากษายกฟ้อง คู่ความจะอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503มาตรา 10 ส่วนข้อเท็จจริงต้องฟังเป็นยุติตามที่ศาลแขวงฟังมา ข้อกฎหมายที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์เป็นเรื่องโจทก์อ้างว่า ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยหลอกลวงโจทก์หรือไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเรื่องนี้ไว้แล้วว่า จำเลยไม่ได้ใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ เท่ากับเห็นว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงเรื่องนี้ไว้แล้วโดยชอบ โจทก์จะฎีกาขอให้พิจารณาจากคำเบิกความของพยานในสำนวนอีกว่าความจริงจำเลยหลอกลวงโจทก์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์หาได้ไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน