คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2445/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทกับ ส. บุตรของ ล. ไม่ได้เช่าจาก ล. ก็ตาม จำเลยก็เข้าไปอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่านั้นเอง จำเลยจึงอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง เมื่อ ล.เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท การครอบครองของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทน ล. หาได้เป็นการแย่งการครอบครองไม่ สิทธิครอบครองในที่พิพาทยังเป็นของ ล. เมื่อ ล. ขายที่พิพาทและส่งมอบส.ค.1 ให้แก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นการส่งมอบการครอบครองแล้วโจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายบริวารและทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองและไม่ได้ครอบครองที่พิพาท เดิมจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากนายไล้ ต่อมาเมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าก็ได้ทำสัญญาเช่ากับนายสังเวียน จนกระทั่งปี 2528 นายไล้ได้ให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าและให้จำเลยส่งมอบที่ดินคืนแก่นายไล้ แต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินที่เช่า คงครอบครองที่ดินโดยสงบเปิดเผยเจตนาเจ้าของตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี จึงได้สิทธิครอบครองในที่พิพาท นายไล้มอบการครอบครองให้แก่โจทก์โดยโจทก์รับมอบไม่สุจริตและไม่ได้เสียค่าตอบแทน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และค่าเสียหายตามฟ้องเป็นการคาดคะเนเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่พิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะจำนวนค่าเสียหาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทกับนายสังเวียน ไม่ใช่นายไล้ เมื่อนายไล้ได้บอกเลิกสัญญาเช่าโดยอ้างว่า นายสังเวียนเอาที่พิพาทให้จำเลยเช่าโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายไล้สัญญาเช่าย่อมไม่มีผลผูกพัน การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทจึงไม่ได้อาศัยสิทธิการเช่า แต่เป็นการแย่งการครอบครอง เมื่อนายไล้ไม่ได้ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปี จึงไม่มีสิทธิครอบครองแล้ว โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองก็ไม่มีสิทธิครอบครองจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองนั้น เห็นว่า แม้จำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทกับนายสังเวียน ไม่ใช่นายไล้ก็ตาม กรณีเป็นการเข้าไปอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่านั่นเอง จำเลยจึงอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง เมื่อนายไล้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้งในข้อนี้ การครอบครองของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทนนายไล้ จำเลยจะเปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังนายไล้ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนนายไล้ต่อไป หรือจำเลยเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริตอาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอกตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ดังนั้น ต่อมาเมื่อนายไล้ได้ให้ทนายความบอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยโดยอ้างว่านายสังเวียนให้จำเลยเช่าที่พิพาทโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายไล้ การที่จำเลยยังคงครอบครองที่พิพาทตลอดมาโดยมิได้บอกกล่าวไปยังนายไล้ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนนายไล้ต่อไป และไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริตอาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอกแต่อย่างใดกรณีจึงหาได้เป็นการแย่งการครอบครองไม่ จำเลยไม่ได้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่พิพาท สิทธิครอบครองในที่พิพาทยังเป็นของนายไล้เมื่อนายไล้ขายที่พิพาทและส่งมอบ ส.ค.1 ให้แก่โจทก์ถือได้ว่าเป็นการส่งมอบการครอบครองแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท
พิพากษายืน

Share