คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2444/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยมิได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว จำเลยให้การปฏิเสธ แม้จะฟังได้ว่าขณะที่จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยก็ตามโจทก์ก็ต้องนำสืบให้ได้ว่าจำเลยมิได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองและมิได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวจึงจะลงโทษจำเลยได้ มิฉะนั้นคงลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,340 ตรี, 371, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2และให้คืนเงินจำนวน 11,000 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี, 371, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519ข้อ 3, 6, 9 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2514 ข้อ 2 ให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ จำคุก 18 ปี ฐานมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 6 เดือนฐานพามีด ปรับ 100 บาท รวมจำคุก 19 ปี 6 เดือน ปรับ 100 บาทไม่ชำระค่าปรับจัดการตามมาตรา 29, 30 ให้จำเลยคืนเงินจำนวน11,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีฟังได้ว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายโดยร่วมกันมีมีดกับอาวุธปืนติดตัว และใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการกระทำผิด จำเลยจึงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้อง
สำหรับข้อความตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนนั้น ในกรณีที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับใบอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยมิได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าในขณะที่จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย จำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยก็ตาม เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ โจทก์ต้องนำสืบให้ฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยมิได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองและมิได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวจึงจะลงโทษจำเลยได้ เมื่อโจทก์มิได้นำสืบย่อมฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง จึงลงโทษจำเลยตามข้อหาดังกล่าวไม่ได้อย่างไรก็ตามการที่จำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไปปล้นทรัพย์ในหมู่บ้านศาลย่อมลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ได้นอกจากนี้การที่พวกของจำเลยมีมีดติดตัวไปปล้นทรัพย์ร่วมกับจำเลยโดยใช้มีดขี้คอนางปราณีภริยาผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกพามีดไปในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุสมควร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 อีกด้วย ข้อหาพาอาวุธปืนและมีดดังกล่าวเป็นการกระทำในคราวเดียวกัน จึงเป็นความผิดกรรมเดียวฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 340 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 371 ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ จำคุก 18 ปี ฐานพาอาวุธปืนและมีดไปในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 100 บาท รวมจำคุก 18 ปี และปรับ 100 บาทไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยคืนเงิน 11,000 บาท แก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share