คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2442/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยที่ 3 เป็นบุตร ค.และพ.โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3924 จำเลยที่ 1ถึงที่ 4 เป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 3926 จำเลยที่ 5 ที่ 6 เป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5458 ที่ดินทั้งสามแปลง เดิมเป็นที่ดินผืนเดียวกัน มีค. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินทั้งสามแปลงมีบ้านปลูกอยู่ 4 หลัง รวมทั้งบ้านของค.บ้านของค.อยู่ติดแม่น้ำ ถ้าจะออกสู่ถนนซึ่งเป็นทางสาธารณะก็เดินผ่านทางพิพาทที่อยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งหกซึ่งเป็น บุตรหลายและญาติของตน ลักษณะเป็นการขออาศัยกันใน ระหว่างหมู่ญาติอันเป็นการเดินโดยถือวิสาสะโจทก์เป็นบุตร ผู้อาศัยอยู่ในบ้านค. ก็เดินผ่านทางพิพาทในลักษณะเดียวกันหลังจากค. ตายก็มิได้เปลี่ยนเจตนาเป็นการใช้ทางพิพาทด้วยเจตนาเป็นทางภารจำยอมการที่โจทก์ใช้ทางพิพาทโดยถือวิสาสะ แม้จะใช้เป็นเวลานานเท่าใดโจทก์ก็ไม่ได้ภารจำยอม ในทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 3926 และ 5458 ของจำเลยทั้งหก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3924 จำเลยทั้งหกเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3926, 5458 ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเชียงรากใหญ่ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเดิมเป็นที่ดินผืนเดียวกันกับที่ดินของโจทก์ และที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะต้องเดินผ่านที่ดินของจำเลยทั้งหกเป็นทางกว้าง2 เมตร ยาวประมาณ 38 เมตร โดยสงบและเปิดเผย ไม่มีผู้ใดคัดค้านหรือหวงห้ามแต่ประการใดเป็นเวลากว่า 40 ปี จึงเป็นทางภารจำยอมโจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งหกไปจดทะเบียนภารจำยอมแต่จำเลยทั้งหกไม่ดำเนินการและปิดทางกับปลูกสร้างบ้านคร่อมทางดังกล่าว ขอให้พิพากษาให้ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม ให้จำเลยทั้งหกเปิดทางพิพาทและไปดำเนินการจดทะเบียนภารจำยอมให้โจทก์หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งหก
จำเลยทั้งหกให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ถึงแก่กรรม นางสาวนวลจันทร์ อยู่ฤทธิ์ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์และจำเลยที่ 3 เป็นบุตรนายคุ่ยและนางพริ้ง สมใจ โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3924 ตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4เป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 3926 จำเลยที่ 5 ที่ 6เป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5458 ที่ดินทั้งสามแปลงตั้งอยู่ที่ตำบลเชียงรากใหญ่ อำเภอสามโคก (เชียงราก) จังหวัดปทุมธานีเดิมที่ดินทั้งสามแปลงเป็นที่ดินผืนเดียวกัน นายคุ่ยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม โจทก์และผู้อาศัยอยู่ในที่ดินใช้ทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะตลอดมาเป็นเวลาประมาณ 40 ปี จนกระทั่งปี 2534 จำเลยที่ 3 ทำรั้วลวดหนาม และประตูรั้วสังกะสีนำแผ่นคอนกรีตมาวางเป็นแนวทางเดินบนทางพิพาทจากประตูรั้วถึงบ้านโจทก์
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ได้ภารจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความหรือไม่ ตามสารบัญจดทะเบียนโฉนดเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 ที่ดินทั้งสามแปลงได้ออกโฉนดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2470 วันที่ 9 มีนาคม 2470 และวันที่8 ตุลาคม 2499 ตามลำดับ โดยนายคุ่ยเป็นเจ้าของรวมในที่ดินตามโฉนดเอกสารหมาย จ.1 จ.2 พยานโจทก์มีนางสาวนวลจันทร์ อยู่ฤทธิ์ ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์กับหลานโจทก์และจำเลยที่ 3 คือนางสุมิตรา ธีระพันธพงศ์ นายปรีดา จุใจ เป็นพยานเบิกความว่าเดิมที่ดินตามโฉนดเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 เป็นที่ดินผืนเดียวกันมีบ้านปลูกอยู่ 4 หลัง คือบ้านของนายคุ่ย นางสาว (เป็นน้องนายคุ่ย) นายไปล่และนางทองสุข จุใจ (นางทองสุขเป็นน้องจำเลยที่ 3 เป็นพี่โจทก์) และจำเลยที่ 3 บ้านแต่ละหลังไม่มีรั้วบ้านบ้านนายคุ่ยอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาหากจะเดินทางทางเรือก็อาศัยเดินผ่านที่ดินบ้านนายคุ่ยไปลงเรือหากจะเดินทางทางบกก็อาศัยเดินผ่านทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะพยานจำเลยทั้งหกมีจำเลยที่ 3 เบิกความว่า โจทก์อาศัยอยู่ที่บ้านนายคุ่ยตลอดมาจนถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 5 ที่ 6เบิกความว่า จำเลยที่ 5 ที่ 6 เป็นลูกพี่ลูกน้องกับโจทก์และจำเลยที่ 3 เห็นว่า ที่ดินทั้งสามแปลงเป็นกรรมสิทธิ์รวมของนายคุ่ยมาก่อนบ้านนายคุ่ยอยู่ติดแม่น้ำ ถ้าจะออกสู่ถนนซึ่งเป็นทางสาธารณะก็เดินผ่านทางพิพาทที่อยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งหกซึ่งเป็นบุตรหลานและญาติของตน ลักษณะเป็นการขออาศัยกันในระหว่างหมู่ญาติอันเป็นการเดินโดยถือวิสาสะ โจทก์เป็นบุตรผู้อาศัยอยู่ในบ้านนายคุ่ยก็เดินผ่านทางพิพาทในลักษณะเดียวกันหลังจากนายคุ่ยตายก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ว่าโจทก์ได้เปลี่ยนเจตนาเป็นการใช้ทางพิพาทด้วยเจตนาเป็นทางภารจำยอม ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยถือวิสาสะ แม้จะใช้เป็นเวลานานเท่าใดโจทก์ก็ไม่ได้ภารจำยอมในทางพิพาท
พิพากษายืน

Share