แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ส. พาจำเลยไปขนสุราซึ่งกองอยู่หน้าโรงเก็บสินค้าล.ที่ส. เป็นลูกจ้างอยู่มิได้ไปขนสุราจากโรงเก็บสินค้าก.และโรงเก็บสินค้าพ. ที่ผู้เสียหายนำสุราไปเก็บรักษาไว้แสดงว่าส. ลักสุราของผู้เสียหายและขนสุราดังกล่าวออกจากโรงเก็บสินค้าก. ไปเก็บไว้ที่โรงเก็บสินค้าล. ตอนที่จำเลยไปช่วยขนสุราของผู้เสียหายจึงเป็นเวลาที่ส. ลักสุราของผู้เสียหายเสร็จแล้วจำเลยจึงมิได้เป็นตัวการร่วมกับส. ลักทรัพย์ สุราของกลางแม้จะมีสารชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ผู้ดื่มเกิดอาการปวดศีรษะแต่ก็เป็นสุราที่ผลิตโดยได้รับอนุญาตจึงมิใช่สุราที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดและสุราดังกล่าวก็เป็นของผู้เสียหายผู้เสียหายจึงมีอำนาจร้องทุกข์และคดีที่จำเลยถูกกล่าวหาเป็นคดีความผิดต่ออาญาแผ่นดินมิใช่คดีความผิดต่อส่วนตัวพนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา121วรรคหนึ่งถึงแม้ผู้เสียหายจะมิได้ร้องทุกข์ก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335,336 ทวิ, 83, 91 และให้จำเลยคืนสุราหงษ์ชัยในส่วนที่ยังไม่ได้คืน หรือชดใช้ราคาเป็นเงิน 960,648 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3)(7) ประกอบด้วยมาตรา 336 ทวิจำคุก 6 ปี ให้จำเลยร่วมกันคืนสุราหงษ์ชัยที่ยังไม่ได้คืนหรือใช้ราคารวมเป็นเงิน 960,648 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษจำคุก 2 ปีคำให้การของจำเลยชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ในการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ให้จำเลยใช้ราคาสุราหงษ์ชัยขนาดบรรจุขวด0.75 ลิตร 585 ขวด กับขนาดบรรจุขวด 4.5 ลิตร 7 ขวด เป็นเงิน55,200 บาท แก่ผู้เสียหาย
โจทก์ และ จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายร่วมกันงัดฝากระดานโรงเก็บสินค้าเกียรติดำรง แล้วลักเอาสุราหงษ์ชัยของบริษัทสุรามหาทิพย์ จำกัด ผู้เสียหาย ที่อยู่ในความครอบครองของนายเกียรติคุณ จินตนกุล เจ้าของโรงเก็บสินค้าเกียรติดำรงไป ต่อมาวันที่ 3 มิถุนายน 2536 เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยสุราหงษ์ชัย ขนาดบรรจุขวด 0.75 ลิตร 216 ขวด และขนาดบรรจุขวด 4.5 ลิตร 11 ขวด ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยเข้าไปลักเอาสุราของผู้เสียหายออกมาจากโรงเก็บสินค้าเกียรติดำรงแต่อย่างใด ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยร่วมกับนายสมบูรณ์ขนสุราของผู้เสียหาย เมื่อถูกจับจำเลยก็รับว่าร่วมกับนายสมบูรณ์ลักทรัพย์ของผู้เสียหายจริงนั้นเห็นว่า นายสมบูรณ์พาจำเลยไปขนสุราซึ่งกองอยู่หน้าโรงเก็บสินค้าเลิศพัฒนา ซึ่งนายสมบูรณ์เป็นลูกจ้างโรงเก็บสินค้าเลิศพัฒนาดังกล่าว มิได้ไปขนสุราจากโรงเก็บสินค้าเกียรติดำรงและโรงเก็บสินค้าพาณิชย์เจริญที่ผู้เสียหายนำสุราไปเก็บรักษาไว้แต่อย่างใด แสดงว่านายสมบูรณ์ลักสุราของผู้เสียหายและขนสุราดังกล่าวออกจากโรงเก็บสินค้าเกียรติดำรงไปเก็บไว้ที่โรงเก็บสินค้าเลิศพัฒนาที่นายสมบูรณ์เป็นลูกจ้างอยู่ การที่จำเลยไปช่วยขนสุราของผู้เสียหายจึงเป็นเวลาที่นายสมบูรณ์ลักทรัพย์สุราของผู้เสียหายเสร็จแล้ว จำเลยจึงมิได้เป็นตัวการร่วมกับนายสมบูรณ์ลักทรัพย์ ที่โจทก์ฎีกาว่า ชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับบันทึกว่าได้กล่าวหาผู้ต้องหาว่าลักทรัพย์รับของโจร สอบถามผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยก็มิได้ให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยมีความผิดฐานรับของโจรหรือไม่ จำเลยฎีกาข้อแรกว่า สุราของกลางมีสารที่ทำให้ผู้ดื่มปวดศีรษะ เป็นสุราที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์และพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนนั้น เห็นว่า สุราของกลาง แม้จะมีสารชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ผู้ดื่มเกิดอาการปวดศีรษะแต่ก็เป็นสุราที่ผลิตโดยได้รับอนุญาตจึงมิใช่สุราที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดและสุราดังกล่าวก็เป็นของผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงมีอำนาจร้องทุกข์และคดีที่จำเลยถูกกล่าวหาเป็นคดีความผิดต่ออาญาแผ่นดินมิใช่คดีความผิดต่อส่วนตัวพนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 121 วรรคหนึ่ง ถึงแม้ผู้เสียหายจะมิได้ร้องทุกข์ไว้ก็ตามฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า การที่จำเลยซื้อสุราจากผู้นำมาจำหน่ายในราคาถูกยังไม่พอฟังว่าจำเลยรู้ว่าเป็นสุราที่ถูกลักมานั้น นายดาบตำรวจประเสริฐศักดิ์วงษ์แสวง และจ่าสิบตำรวจสันติ บุตรวงศ์ พยานโจทก์เบิกความว่าจากการตรวจค้นที่บ้านจำเลยพบสุราขนาดบรรจุขวด 4.5 ลิตร11 ขวด ที่โรงรถโดยมีลักษณะการอำพรางใช้กระสอบปิดบังไว้ จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า จำเลยไปขนสุรากับนายสมบูรณ์เวลาใกล้ค่ำประมาณ 18 นาฬิกา ที่บริเวณหน้าโรงเก็บสินค้าเลิศพัฒนา ซึ่งในบริเวณนั้นไม่มีผู้ใดอยู่และสุราที่ไปขนมีจำนวนมาก โดยนายสมบูรณ์อ้างว่าซื้อสุราดังกล่าวมา ทั้งที่นายสมบูรณ์มีอาชีพรับจ้าง นายสมบูรณ์มอบสุราให้จำเลยไปขายจำนวนมากทั้ง ๆ ที่จำเลยไม่ได้ให้หลักประกันแก่นายสมบูรณ์ไว้แต่อย่างใด จำเลยเองก็นำสุราดังกล่าวไปขายให้นายกฤษทั้ง ๆ ที่นายกฤษแจ้งว่ายังไม่มีเงินชำระให้แก่จำเลย เห็นว่าจากพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยรู้ว่าสุราดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา เมื่อจำเลยช่วยนำไปจำหน่าย จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน