คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2434/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1คดีสำหรับจำเลยที่ 3 จึงยุติไปแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ด้วย จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. ม.142 และ ม.240 ศาลฎีกาต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 2 ผู้จัดการธนาคารสาขา ได้รับมอบอำนาจจากธนาคารจำเลยที่ 3 ได้แต่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นทนายความฟ้องโจทก์ให้ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง ตามหนังสือมอบอำนาจ จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจรับเงินในคดีแทนจำเลยที่ 2 นอกศาล การที่โจทก์มอบเช็คให้จำเลยที่ 1 ไปจัดการชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 3 เพื่อมิให้ที่ดินของโจทก์ต้องถูกขายทอดตลาด จำเลยที่ 1 ยอมรับเช็คไปดำเนินการตามความประสงค์ของโจทก์ จำเลยที่ 1 ย่อมได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนโดยปริยายของโจทก์แล้วตาม ป.พ.พ. ม.797 วรรคสอง หากมีความเสียหายเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 แล้ว ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิด เมื่อที่ดินของโจทก์ต้องถูกขายทอดตลาดไปเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๓ ตำแหน่งผู้จัดการธนาคารสาขา ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๓ ให้ดำเนินกิจการแทนรวมทั้งมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำการแทนด้วย เดิมโจทก์ได้กู้เบิกเงินเกินบัญชีต่อธนาคารจำเลยที่ ๓ ในวงเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท ได้นำที่ดิน น.ส.๓ สองแปลงจำนองไว้เป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๑ เป็นทนายความยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่เรียกเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีและบังคับจำนอง โจทก์ได้ยอมความตามที่จำเลยที่ ๑ เสนอแนะ เมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามยอมโจทก์ผิดนัด จำเลยขอบังคับคดียึดทรัพย์ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวออกประกาศขายทอดตลาด โดยกำหนดทำการขายในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๐ เวลา ๑๐ นาฬิกา ก่อนวันขายทอดตลาด คือในวันที่ ๙ เดือนเดียวกัน โจทก์ติดต่อสอบถามจำเลยที่ ๑ ถึงจำนวนหนี้และขอรับชำระหนี้ทั้งหมดเพื่อให้จำเลยปล่อยทรัพย์ที่ดินที่ยึดไว้และปลดจำนอง จำเลยที่ ๑ แจ้งยอดหนี้ทั้งหมดให้โจทก์ทราบและแจ้งว่ามีอำนาจรับชำระหนี้แทนจำเลยที่ ๓ เจ้าหนี้ได้ตามหนังสือมอบอำนาจ แล้วจำเลยที่ ๑ จะดำเนินการปล่อยที่ดินของโจทก์ให้พ้นจากการขายทอดตลาดถอนการยึดและปลดจำนองให้โดยโจทก์ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับศาล โจทก์จึงได้ชำระหนี้ทั้งหมดให้จำเลยที่ ๑ ไปโดยสุจริต โดยชำระเป็นเช็คธนาคารทหารไทย จำกัด ไปในวันนั้น ครั้นวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๐ ตอนบ่าย โจทก์จึงทราบว่าจำเลยมิได้บอกงดการขายทอดตลาดมิได้ถอนการยึด มิได้ปลดจำนองให้โจทก์ แต่กลับให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดไป การที่ฝ่ายจำเลยได้รับชำระหนี้แล้วแต่ไม่งดการขายทอดตลาดไม่ถอนไม่ปลดจำนอง จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๓ ผู้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดด้วย โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๒๐ ตอนบ่าย โจทก์ไปพบจำเลยที่ ๑ ที่สำนักงานของจำเลยที่ ๑ ที่จังหวัดเชียงใหม่ และมอบหมายให้จำเลยที่ ๑ รับเช็คขีดคร่อมเข้าบัญชีของธนาคารทหารไทย จำกัด สั่งจ่ายเงิน ๓๒,๗๖๐ บาท เพื่อนำไปเบิกเงินแล้วให้จำเลยที่ ๑ นำเงินไปชำระให้จำเลยที่ ๒ ในวันจันทร์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์นำไปชำระเองเพราะจำเลยที่ ๑ ติดว่าความที่ศาลคดีเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่ และในวันจันทร์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ มีนัดคดีสำคัญกับลูกความที่สำนักงานไม่สะดวกที่จะรับมอบอำนาจจากโจทก์นำเงินไปชำระให้จำเลยที่ ๒ ที่จังหวัดลำพูน ประกอบกับยังไม่ทราบว่าเช็คจะขึ้นเงินได้หรือไม่ เงินตามเช็คก็มีจำนวนน้อยกว่าหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ไปเจรจาตกลงกับจำเลยที่ ๒ เองก่อนวันขายทอดตลาด โจทก์รับปาก แต่ขอให้จำเลยที่ ๑ รับเช็คไว้ก่อนจำเลยที่ ๑ จึงรับเช็คไว้จากโจทก์เพื่อไปขึ้นเงินหาใช่รับไว้เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแทนจำเลยที่ ๒ ไม่ ต่อมาวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๐ ตอนเช้าจำเลยที่ ๑ไปเบิกเงินตามเช็ค ได้เงินแล้วได้ติดต่อโทรศัพท์ทางไกลเชียงใหม่ – ลำพูนไปยังจำเลยที่ ๒ แต่ติดต่อไม่ได้เพราะโทรศัพท์ขัดข้องจึงรีบเดินทางไปจังหวัดลำพูนโดยรถยนต์ แต่เครื่องเสียต้องเสียเวลาซ่อมจึงเดินทางถึงศาลจังหวัดลำพูนเวลา ๑๐ นาฬิกา ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประมูลขายที่ดินของโจทก์ไปแล้ว ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ไปติดต่อกับจำเลยที่ ๒ แต่อย่างใด โจทก์มิได้ดูแลรักษาผลประโยชน์ของตน จำเลยที่ ๑ มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ รับเงินชำระหนี้จากโจทก์ จำเลยที่ ๒ มีอำนาจแต่งทนายเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาต่าง ๆตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๖๒ รวมทั้งมีอำนาจและมอบอำนาจให้บุคคลใดให้รับเอกสาร รับเงินค่าฤชาธรรมเนียมหรือเงินอื่นจากศาลหรือจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จำเลยที่ ๒ จะมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ รับเงินจากโจทก์ไม่ได้ การที่โจทก์มอบเช็คให้จำเลยที่ ๑ ไปขึ้นเงินมาชำระหนี้ให้จำเลยที่ ๓ และการที่จำเลยที่ ๑ รับมอบเช็คจากโจทก์เป็นเรื่องส่วนตัวของโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เพราะจำเลยที่ ๑ ทำนอกขอบเขตการมอบอำนาจตามใบมอบอำนาจและทำหน้าที่ด้วยจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่มีสิทธิมอบอำนาจให้ทนายความหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งรับชำระหนี้แทนธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาลำพูน หรือแทนจำเลยที่ ๓ ได้เลย หนังสือมอบอำนาจตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ นั้น เป็นเรื่องจำเลยที่ ๒ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ ดำเนินการในศาลในชั้นบังคับคดีในศาลเท่านั้นไม่ได้มอบให้จำเลยที่ ๑ รับเงินหรือรับชำระหนี้ได้ จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีอำนาจที่จะรับชำระหนี้แทนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ หากจำเลยที่ ๑ รับชำระหนี้มาก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ สงเคราะห์โจทก์เป็นการส่วนตัว จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตามคำขอท้ายฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันส่งมอบที่ดินตามฟ้องคืนโจทก์โดยปลอดภาระผูกพัน หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา
โจทก์ฎีกาเฉพาะจำเลยที่ ๑ โดยขอให้จำเลยที่ ๑ ใช้ราคาที่ดิน
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเรื่องโจทก์มอบเช็คให้จำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นอุทธรณ์ปรากฏว่าโจทก์อุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ ๑ โดยขอให้จำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวรับผิดตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์เท่านั้น โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ ๓ รับผิดต่อโจทก์แต่ประการใด คดีสำหรับจำเลยที่ ๓ จึงยุติไปแล้ว ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๓ รับผิดต่อโจทก์ด้วยทั้ง ๆที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒,๒๔๐ ศาลฎีกาจำต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๓
สำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๓ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ฟ้องคดี ได้ระบุให้จำเลยที่ ๒ มีอำนาจและมอบอำนาจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมและเงินอื่น ๆ จากศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือเจ้าพนักงานอื่นได้ด้วยหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว จำเลยที่ ๒ จะมอบอำนาจช่วงให้บุคคลอื่นรับเงินแทนจำเลยที่ ๒ จากศาลหรือจากเจ้าพนักงานได้เท่านั้น จะมอบอำนาจให้บุคคลอื่นรับเงินแทนจำเลยที่ ๒ นอกศาลหรือบุคคลที่ไม่ใช่เจ้าพนักงานไม่ได้หากกระทำไปก็ต้องถือว่าเป็นการตั้งตัวแทนช่วงโดยมิได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นตัวการ ดังนั้น หนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่ ๒ ที่มอบอำนาจช่วงให้จำเลยที่ ๑ โดยระบุให้จำเลยที่ ๑ รับเงินที่จำเลย (โจทก์คดีนี้) วางศาลเพื่อชำระหนี้รับเงินค่าขายทอดตลาดทรัพย์หรือรับเงินอื่นใดแทนจำเลยที่ ๒ ได้นั้น จึงหมายถึงให้จำเลยที่ ๑ รับเงินในคดีแทนจำเลยที่ ๒ จากศาลหรือจากเจ้าพนักงานได้เท่านั้น จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจรับเงินในคดีแทนจำเลยที่ ๒ นอกศาล การที่จำเลยที่ ๑ รับเงินจากโจทก์นอกศาล จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๓ ได้รับชำระหนี้จากโจทก์ครบถ้วนแล้ว การที่โจทก์มอบเช็คให้จำเลยที่ ๑ ไปจัดการชำระหนี้ให้จำเลยที่ ๓ เพื่อมิให้ที่ดินของโจทก์ต้องถูกขายทอดตลาดไปและจำเลยที่ ๑ ยอมรับเช็คไปดำเนินการ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนโดยปริยายของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๙๗ วรรคสอง ดังนั้นหากมีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใด ๆ เพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ทำละเมิดต่อโจทก์แล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ส่วนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๓ ให้ยกเสียทั้งสิ้น

Share