คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2432/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำแถลงของโจทก์ที่ขอถอนการยึดและการบังคับคดีมีข้อความว่า”ขณะนี้โจทก์และจำเลยตกลงกันได้แล้วและได้รับชำระหนี้เป็นที่พอใจแล้วโจทก์ไม่ประสงค์บังคับคดีนี้ต่อไปจึงขอถอนการยึดทรัพย์คดีนี้และขอถอนการบังคับคดีเสียทั้งสิ้นต่อไปด้วยฯลฯ”ข้อความดังกล่าวชัดแจ้งว่าโจทก์ขอถอนการยึดทรัพย์และการบังคับคดีเพราะได้รับชำระหนี้จากจำเลยทั้งสองเป็นที่พอใจแล้วตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันดังนี้เมื่อโจทก์ตกลงยกหรือปลดหนี้ส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยแล้วหนี้ส่วนที่เหลือจึงเป็นอันระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา340โจทก์ไม่อาจจะนำหนี้ดังกล่าวมาเป็นมูลฟ้องให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งซึ่งคิดถึงวันฟ้องคดีนี้จำเลยทั้งสองยังเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 3,972,540.10 บาท จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริงแต่ได้ตกลงชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนจนเป็นที่พอใจของโจทก์และโจทก์ได้ขอถอนการยึดทรัพย์และการบังคับคดีต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2532 แล้วจึงไม่มีหนี้ต่อกัน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1808/2529ของศาลชั้นต้นซึ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน2,741,208.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน2,735,694.10 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความ2,000 บาท แทนโจทก์ หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์6 ครั้ง รวมเป็นเงิน 97,000 บาท โจทก์จึงบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 1 รวม 11 แปลง ต่อมาจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่โจทก์700,000 บาท โจทก์ยื่นคำแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอถอนการยึดและการบังคับคดีตามคำแถลงลงวันที่ 5 เมษายน 2532 ในสำนวนการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ถอนการยึด
คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองยังเป็นหนี้โจทก์และเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวกับมีเหตุสมควรให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่เห็นว่า ตามคำแถลงของโจทก์ลงวันที่ 5 เมษายน2532 ที่ขอถอนการยึดและการบังคับคดีนั้น มีข้อความว่า “ขณะนี้โจทก์และจำเลยตกลงกันได้แล้ว และได้รับชำระหนี้เป็นที่พอใจแล้วโจทก์ไม่ประสงค์บังคับคดีนี้ต่อไป จึงขอถอนการยึดทรัพย์คดีนี้และขอถอนการบังคับคดีเสียทั้งสิ้นต่อไปด้วย ฯลฯ” ซึ่งข้อความดังกล่าวชัดแจ้งว่าโจทก์ขอถอนการยึดทรัพย์และการบังคับคดีเพราะได้รับชำระหนี้จากจำเลยทั้งสองเป็นที่พอใจแล้วตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ตกลงกัน จึงเจือสมกับข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์ตกลงยกหรือปลดหนี้ส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ตกลงยกหรือปลดหนี้ส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยทั้งสองหนี้ส่วนที่เหลือจะนำหนี้ดังกล่าวมาเป็นมูลฟ้องให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายได้ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว และมีเหตุสมควรให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share