แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรมป่าไม้ทำสัญญาจ้างผู้รับจ้างเฝ้ารักษาไม้ของกลาง ระบุชื่อสัญญาว่า “สัญญาจ้างเฝ้ารักษา” มีข้อสัญญาว่าผู้ว่าจ้างตกลงให้ค่าจ้างแก่ผู้รับจ้างเฝ้ารักษาไม้ของกลางตามบัญชีท้ายสัญญาโดยคิดอัตราค่าจ้างเป็นรายลูกบาศก์เมตร นับแต่วันทำสัญญาเป็นต้นไปจนกว่าผู้ว่าจ้างจะรับไม้คืน หากขาดหายหรือเป็นอันตรายผู้รับจ้างให้ผู้ว่าจ้างปรับไหมเป็นรายลูกบาศก์เมตรตามจำนวนที่สูญหายหรือเป็นอันตราย ระหว่างเวลาที่ผู้รับจ้างรับผิดชอบเฝ้ารักษาไม้ผู้ว่าจ้างอาจขนไม้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปจากที่เดิมในเวลาใด ๆก็ได้ แต่ต้องแจ้งให้ผู้รับจ้างทราบและทำใบรับไม้ที่ขนไปนั้นทุกคราวไป หลังจากทำสัญญาแล้วไม้ของกลางอยู่ห่างจากบ้านผู้รับจ้างประมาณ 2 กิโลเมตร โดยกองอยู่ริมทางเดินในหมู่บ้านผู้รับจ้างมิได้ชักลากไม้มาเก็บรักษาไว้ในอารักขาของตนแต่ประการใดดังนี้ แสดงว่าอำนาจการครอบครองไม้ยังอยู่แก่ผู้ว่าจ้าง มิได้ส่งมอบไม้ให้แก่ผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างมีหน้าที่เฝ้ารักษามิให้ไม้เป็นอันตรายหรือสูญหายไปเท่านั้น ไม่ได้นำทรัพย์สินที่รับฝากมาเก็บรักษาไว้ในอารักขาของตน สัญญาดังกล่าวจึงไม่เป็นสัญญาฝากทรัพย์ แต่เป็นสัญญาจ้างแรงงาน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 685/2512และ 1020/2519) สิทธิเรียกร้องค่าปรับตามสัญญาจ้างแรงงาน กฎหมายมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงอยู่ในบังคับอายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม ซึ่งมีกำหนด 10 ปี คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามสัญญาได้หรือไม่ ค่าเสียหายมีเพียงใด และคดีขาดอายุความหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความพิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามสัญญาได้หรือไม่ และค่าเสียหายมีเพียงใดจึงเป็นเหตุอันสมควรที่จะให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งให้บริบูรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายชวลิต รักร่วม ป่าไม้อำเภอท่าแซะจังหวัดชุมพร ได้ตรวจพบไม้หวงห้ามของกลาง กองอยู่ริมถนนสายบ้านในรักษ์ หมู่ที่ 9 ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพรนายชวลิตจึงทำสัญญาจ้างจำเลยเป็นผู้ดูแลเฝ้ารักษาไม้ดังกล่าวโดยตกลงให้ค่าจ้างในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 10 บาท ต่อเดือน หากไม้สูญหายหรือเป็นอันตรายจำเลยยอมให้ปรับไหมเป็นเงินลูกบาศก์เมตรละ1,800 บาท ต่อมาวันที่ 25 กรกฎาคม 2528 เจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจพบว่า ไม้ได้สูญหายไป 66 ท่อน รวมปริมาตร 91.06 ลูกบาศก์เมตรจำเลยจึงต้องใช้ค่าปรับให้แก่โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 163,908 บาทโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชดใช้ แต่ยอมให้นำเงินค่าจ้างจำนวน1,215 บาท ไปหักชำระได้จำเลยคงค้างค่าปรับจำนวน 162,693 บาทขอให้จำเลยชำระเงิน 162,693 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นายชวลิตได้ทำสัญญาว่าจ้างให้จำเลยดูแลรักษาไม้ ตามประเพณีปฏิบัติของเจ้าพนักงานป่าไม้ เมื่อมีการจับกุมไม้ในท้องที่ใดจะให้กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้รับจ้างฝากดูแลไม้นายชวลิตมิได้แจ้งให้จำเลยทราบเลยว่าไม้ดังกล่าวอยู่ที่ใดมีจำนวนกี่ท่อน ปริมาตรเท่าใด และเป็นไม้ชนิดใด อีกทั้งมิได้ส่งมอบไม้ดังกล่าวให้แก่จำเลยด้วย สัญญาดังกล่าวจึงไม่มีผลบังคับนายชวลิตเป็นผู้นำไม้ส่วนที่สูญหายไปเองในขณะที่เจ้าพนักงานป่าไม้ทำการตรวจสอบไม้ จำเลยไม่ได้อยู่ด้วย คดีนี้ค่าเสียหายไม่เกิน 45,530 บาท ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน162,693 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าสัญญาจ้างเฝ้ารักษาไม้ของกลางเอกสารหมาย จ.3 เป็นสัญญาฝากทรัพย์หรือไม่ ซึ่งโจทก์ฎีกาเถียงว่าเป็นสัญญาจ้างแรงงาน เห็นว่า สัญญาจ้างเฝ้ารักษาไม้ของกลางเอกสารหมาย จ.3 มีข้อกำหนดเป็นสาระสำคัญว่า ผู้ว่าจ้างตกลงให้ค่าจ้างแก่ผู้รับจ้างเฝ้ารักษาไม้ของกลางตามบัญชีท้ายสัญญาเป็นอัตราลูกบาศก์เมตรละ 10 บาท นับแต่วันทำสัญญา(วันที่ 5 พฤศจิกายน 2527) เป็นต้นไปจนกว่าผู้ว่าจ้างจะรับไม้ของกลางคืน หากสิ่งซึ่งได้รับจ้างเฝ้ารักษาขาดหายหรือเป็นอันตรายไปจากบัญชีท้ายสัญญา ผู้รับจ้างให้ผู้ว่าจ้างปรับไหมเป็นเงินลูกบาศก์เมตรละ 1,800 บาท ตามจำนวนที่สูญหายหรือเป็นอันตรายไปและข้อ 4 มีข้อกำหนดว่า “ในระหว่างเวลาที่ผู้รับจ้างรับผิดชอบเฝ้ารักษาไม้ของกลางตามสัญญาผู้จ้างอาจขนไม้ของกลางที่ผู้รับจ้างเฝ้ารักษาทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปจากที่เดิมในเวลาใด ๆ ก็ได้แต่ในกรณีเช่นนี้ ผู้จ้างต้องแจ้งให้ผู้รับจ้างทราบและทำใบรับไม้ของกลางที่ขนไปนั้นทุกคราวไปและไม้หรือของป่าที่ผู้จ้างได้นำไปแล้วนั้นเป็นอันพ้นจากความรับผิดชอบของผู้รับจ้าง” ปรากฏว่าหลังจากทำสัญญาจ้างเฝ้ารักษาไม้ของกลางเอกสารหมาย จ.3 แล้ว ไม้ของกลางอยู่ห่างจากบ้านจำเลยประมาณ 2 กิโลเมตร โดยกองอยู่ริมทางเดินในหมู่บ้าน จำเลยมิได้ชักลากไม้ของกลางมาเก็บรักษาไว้ในอารักขาของจำเลยแต่ประการใด และตามรายละเอียดในสัญญาข้อ 4 ผู้ว่าจ้างอาจขนไม้ของกลางทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปจากที่เดิมในเวลาใด ๆก็ได้ แสดงว่าอำนาจการครอบครองไม้ของกลางยังอยู่แก่ผู้ว่าจ้างมิได้ส่งมอบไม้ของกลางให้แก่ผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างมีหน้าที่เฝ้ารักษามิให้ไม้ของกลางเป็นอันตรายหรือสูญหายไปเท่านั้น ไม่ได้นำทรัพย์สินที่รับฝากมาเก็บรักษาไว้ในอารักขาของตน สัญญาดังกล่าวจึงไม่เป็นสัญญาฝากทรัพย์ แต่เป็นสัญญาจ้างแรงงานตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 685/2512 และคำพิพากษาฎีกาที่ 1020/2519 เมื่อกฎหมายลักษณะจ้างแรงงานมิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม คือมีอายุความ10 ปี โจทก์ทราบว่าไม้ของกลางสูญหายไป 66 ท่อน เมื่อวันที่ 25กรกฎาคม 2528 โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2530จึงหาขาดอายุความไม่
เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามสัญญาได้หรือไม่ และค่าเสียหายมีเพียงใด จึงมีเหตุอันสมควรที่จะให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งให้บริบูรณ์ จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาใหม่ให้สิ้นกระแสความ
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาใหม่ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่