คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องในข้อหาคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยไม่รับอนุญาต ได้ถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นบุคคลผู้ได้กำเนิดในราชอาณาจักรไทย โจทก์ย่อมได้สัญชาติไทย เช่นนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีแพ่งขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่สั่งเพิกถอนสัญชาติไทยของโจทก์โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งที่มิชอบ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นคนไทยเกิดในราชอาณาจักรไทย มีบัตรประจำตัวประชาชนในฐานะเป็นเป็นคนไทย แต่จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันมีคำสั่งเรียกบัตรประจำตัวประชาชนคืนจากโจทก์ และเพิกถอนการมีสัญชาติไทยของโจทก์ อ้างว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าวโดยเป็นคนญวนอพยพลักลอบเข้ามาในประเทศไทย ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทยและเพิกถอนคำสั่งทั้งปวงของจำเลยทั้งสี่อันเกี่ยวเนื่องกับการสั่งเพิกถอนการมีสัญชาติไทยของโจทก์

จำเลยทั้งสี่ให้การร่วมกันว่า โจทก์เป็นคนสัญชาติญวน เกิดนอกราชอาณาจักรไทยและลักลอบเข้ามาในประเทศไทย บิดามารดาของโจทก์เป็นคนสัญชาติญวน มารดาโจทก์และโจทก์แจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานว่าเป็นคนไทย เป็นเหตุให้โจทก์ได้มาซึ่งบัตรประจำตัวประชาชนในฐานะเป็นคนไทย ซึ่งเป็นการได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าพนักงานจึงมีอำนาจถอนสัญชาติไทยที่โจทก์ได้มาโดยไม่ชอบ และขอให้โจทก์ส่งบัตรประจำตัวประชาชนคืนได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์เป็นบุคคลมีสัญชาติไทยให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่เกี่ยวกับการเพิกถอนโจทก์จากสัญชาติไทย

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสี่ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พนักงานอัยการศาลแขวงอุบลราชธานีเคยเป็นโจทก์ฟ้องนางทองใบ ศิริเยี่ยม โจทก์คดีนี้ เป็นคดีอาญาในข้อหาคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยไม่รับอนุญาต แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ และเป็นคนไม่มีสัญชาติไทยบังอาจยื่นคำขอรับคำขอรับบัตรประจำตัวประชาชน คดีถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์โดยศาลวินิจฉัยว่าโจทก์เกิดในประเทศไทย โดยบิดาเป็นคนต่างด้าว มารดาเป็นคนไทย โจทก์จึงเป็นคนไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พุทธศักราช 2456มาตรา 3(3) ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 594/2522 ของศาลแขวงอุบลราชธานีดังนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จำเลยจะฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่ และศาลฎีกาเห็นว่าคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวได้พิพากษาโดยแจ้งชัดว่าโจทก์เป็นบุคคลผู้ได้กำเนิดในราชอาณาจักรไทย ฉะนั้นโจทก์จึงย่อมได้สัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พุทธศักราช 2456มาตรา 3 อนุมาตรา 3 อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น

พิพากษายืน

Share