คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2426/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยทั้งสอง และศาลพิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อโจทก์เห็นว่าข้อตกลงตามสัญญายอมข้อใดไม่ชอบ ทำให้คำพิพากษาตามยอมไม่ชอบ เข้าข้อยกเว้นที่โจทก์สามารถอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมได้ โจทก์ก็ต้องอุทธรณ์คำพิพากษานั้นภายในกำหนด 1 เดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาตามยอมให้คู่ความฟัง การที่โจทก์ไม่อุทธรณ์แต่กลับยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจ จึงไม่ชอบ การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์จึงชอบแล้ว เพราะกรณีของโจทก์เป็นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่โจทก์ขอให้เพิกถอน หาใช่เป็นอุทธรณ์ตามข้อยกเว้นของ ป.วิ.พ. มาตรา 138 ไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้โจทก์หรือตัวแทนโจทก์กับจำเลยทั้งสองหรือตัวแทนจำเลยทั้งสองจะไปดำเนินการจดทะเบียนผู้จัดการมรดกนางแสงหรือคุณหญิงแสงศรีสรราช ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2545 พร้อมกันนั้นผู้จัดการมรดกหรือตัวแทนต้องจดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 227 ตำบลคลองซอยที่ 2 ฝั่งตะวันออก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นที่กัลปนาสงฆ์วัดจำเลยที่ 1 และดำเนินการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินดังกล่าวด้วย ค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ (ถ้ามี) จำเลยเป็นผู้ออกแต่ฝ่ายเดียว โฉนดที่ดินดังกล่าวให้ศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานีเป็นผู้เก็บรักษาไว้ แต่ในระหว่างที่โจทก์มีชีวิตอยู่ให้เป็นผู้เก็บรักษาแทน ถ้าหากโจทก์ถึงแก่กรรมให้ทายาทนำมาคืนแก่ศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานีภายในกำหนด 365 วัน ทั้งสองฝ่ายตกลงจะไม่นำข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับโฉนดที่ดินเลขที่ 227 มาฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและทางอาญาอีก และโจทก์จะดำเนินการถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 5621/2543 ของศาลชั้นต้นก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความอ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดว่า โฉนดที่ดินดังกล่าวให้ศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานีเป็นผู้เก็บรักษาไว้ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้โจทก์กับจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1004/2533 ของศาลชั้นต้นแต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ระบุถึง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องไม่ใช่เหตุที่จะเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ศาลพิพากษาตามยอมไปแล้วได้ ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง คืนค่าคำร้องชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมในวันเดียวกัน ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คำพิพากษา ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ อ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความขัดต่อกฎหมาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องในวันเดียวกัน โจทก์จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งว่าการที่ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ใช้แบบพิมพ์คำร้องเป็นฟ้องอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งโดยอาศัยเหตุผลอื่น จึงมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 1 ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยแล้วว่าเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายถึงขนาดที่จะรับไว้พิจารณาไม่ได้ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้ยกอุทธรณ์โจทก์อ้างว่าต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138 ชอบหรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์เห็นว่าข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อใดขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนทำให้คำพิพากษาตามยอมไม่ชอบเข้าข้อยกเว้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138 วรรคสอง ที่โจทก์สามารถอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมได้ โจทก์ก็ต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาตามยอมให้คู่ความฟัง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 แต่โจทก์หาได้อุทธรณ์ไม่ กลับยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโดยไม่มีบทกฎหมายใดให้โจทก์กระทำเช่นนั้นได้ การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ไว้วินิจฉัยด้วยเหตุดังกล่าวจึงชอบแล้ว เพราะกรณีของโจทก์เป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอน หาใช่เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมตามข้อยกเว้นของ ป.วิ.พ. มาตรา 138 วรรคสอง ที่โจทก์จะอุทธรณ์ได้ไม่
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share