แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม หากโจทก์เห็นว่าข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อใดขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนทำให้คำพิพากษาตามยอมไม่ชอบ โจทก์สามารถอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138 (3) โดยโจทก์ต้องอุทธรณ์ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาตามยอมให้คู่ความฟัง คือภายใน 7 มีนาคม 2545 ตามมาตรา 229 แต่โจทก์หาได้อุทธรณ์ไม่ กลับยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2545 โดยไม่มีบทกฎหมายใดให้โจทก์กระทำเช่นนั้นได้ การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ไว้วินิจฉัยด้วยเหตุดังกล่าวจึงชอบแล้ว เพราะกรณีของโจทก์เป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่โจทก์ขอ มิใช่เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมตามข้อยกเว้นของมาตรา 138 วรรคสอง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้โจทก์หรือตัวแทนโจทก์กับจำเลยทั้งสองหรือตัวแทนจำเลยทั้งสองจะไปดำเนินการจดทะเบียนผู้จัดการมรดก นางแสง นามะสนธิหรือคุณหญิงแสง ศรีสรราช ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2545 พร้อมกันนั้นผู้จัดการมรดกหรือตัวแทนต้องจดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 227 ตำบลคลองซอยที่ 2 ฝั่งตะวันออก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่ 47 ไร่ 1 งาน 36 ตารางวา เป็นที่กัลปนาสงฆ์วัดจำเลยที่ 1 และดำเนินการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินดังกล่าวด้วยค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ (ถ้ามี) จำเลยเป็นผู้ออกแต่ฝ่ายเดียว โฉนดที่ดินดังกล่าวให้ศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานีเป็นผู้เก็บรักษาไว้ แต่ในระหว่างที่โจทก์มีชีวิตอยู่ให้เป็นผู้เก็บรักษาแทน ถ้าหากโจทก์ถึงแก่กรรมให้ทายาทนำมาคืนแก่ศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานีภายในกำหนด 365 วัน ทั้งสองฝ่ายตกลงจะไม่นำข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับโฉนดที่ดินเลขที่ 227 มาฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและทางอาญาอีก และโจทก์จะดำเนินการถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 5621/2543 ของศาลชั้นต้นก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความอ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดว่า โฉนดที่ดินดังกล่าวให้ศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานีเป็นผู้เก็บรักษาไว้ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้โจทก์กับจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1004/2533 ของศาลชั้นต้น แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ระบุถึง
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องไม่ใช่เหตุที่จะเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ศาลพิพากษาตามยอมไปแล้วได้ ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง คืนค่าคำร้องชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2545 และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมในวันเดียวกัน ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คำพิพากษา แต่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2545 อ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความขัดต่อกฎหมาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องในวันเดียวกัน โจทก์จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง การที่ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ใช้แบบพิมพ์คำร้องเป็นฟ้องอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2545 โดยอาศัยเหตุผลอื่น จึงมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 1 ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยแล้วว่าเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายถึงขนาดที่จะรับไว้พิจารณาไม่ได้ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้ยกอุทธรณ์โจทก์อ้างว่าต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีที่ศาลพิพากษาตามยอม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้ เว้นแต่ในเหตุ 3 ประการตามที่บัญญัติไว้คือ (1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล (2) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน (3) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่ามิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ เมื่อโจทก์เห็นว่าข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อใดขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนทำให้คำพิพากษาตามยอมไม่ชอบเข้าข้อยกเว้นที่โจทก์สามารถอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมได้ โจทก์ก็ต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาตามยอมให้คู่ความฟัง คือภายใน 7 มีนาคม 2545 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 แต่โจทก์หาได้อุทธรณ์ไม่ กลับยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2545 โดยไม่มีบทกฎหมายใดให้โจทก์กระทำเช่นนั้นได้ การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ไว้วินิจฉัยด้วยเหตุดังกล่าวจึงชอบแล้ว เพราะกรณีของโจทก์เป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอน หาใช่เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมตามข้อยกเว้นของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง ที่โจทก์จะอุทธรณ์ได้ไม่ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ