คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2424/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยปลูกกัญชาและมีต้นกัญชาที่ปลูกนั้นไว้ในความครอบครองไม่ปรากฏว่านอกจากครอบครองไว้เพราะเป็นผลเนื่องจากการปลูกดังกล่าวแล้ว จำเลยได้กระทำการใด ๆเป็นกิจลักษณะที่แสดงการมีกัญชาไว้ในความครอบครองขึ้นอีกเลย คงครอบครองอยู่ในฐานะเป็นผลที่เกิดจากการปลูกเท่านั้นเอง การกระทำของจำเลยจึงมีเพียงกรรมเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ร่วมกันปลูกกัญชาไว้ในไร่จำนวน 7,730 ต้นหนัก 200 กิโลกรัม และจำเลยได้ร่วมกันมีกัญชาสดจำนวน 7,730 ต้น หนัก 200 กิโลกรัม ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 มาตรา 5, 7, 9, 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2 และริบของกลาง

จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติกัญชาพ.ศ. 2477 มาตรา 5, 7, 9, 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2 ลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา 75 ให้จำเลยที่ 4 แล้ว ลงโทษฐานปลูกกัญชาจำคุก 6 เดือน ลงโทษฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครอง จำคุก 3 เดือน รวม2 กระทง เป็นจำคุก 9 เดือน จำเลยนอกนั้นลงโทษฐานปลูกกัญชาจำคุกคนละ1 ปี ลงโทษฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองให้จำคุกคนละ 6 เดือน รวมสองกระทงเป็นโทษจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามมาตรา 78 คนละกึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 4 ไว้ 4 เดือน 15 วัน จำเลยนอกนั้นจำคุกคนละ 9 เดือน ของกลางริบ

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ แล้วจำเลยที่ 4 ขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาต

ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยทั้งสี่เป็นผู้ปลูกกัญชาและมีต้นกัญชาที่ปลูกนั้นไว้ในความครอบครอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ซึ่งต้องใช้กฎหมายบทที่หนักที่สุดลงโทษ พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 มาตรา 5, 7, 9 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 9 ฐานปลูกกัญชาอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 คนละ1 ปี จำเลยทุกคนให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามมาตรา 78 คนละกึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 คนละ 6 เดือน ของกลางริบ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ต้นกัญชาของกลางเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการกระทำความผิดฐานปลูกกัญชา ย่อมเป็นธรรมดาว่า เมื่อกัญชาที่จำเลยปลูกงอกเจริญขึ้นมาเป็นต้นกัญชาแล้ว ต้นกัญชาเหล่านั้นก็เป็นของจำเลย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 มีต้นกัญชาเหล่านั้นไว้ในความครอบครอง แต่โดยเหตุที่ไม่ปรากฏว่า นอกจากครอบครองไว้เพราะเป็นผลเนื่องจากการปลูกดังกล่าวมาแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ได้กระทำการใด ๆ เป็นกิจลักษณะที่แสดงการมีกัญชาไว้ในความครอบครองขึ้นอีกเลย คงครอบครองอยู่ในฐานะเป็นผลที่เกิดจากการปลูกเท่านั้นเอง เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เกี่ยวกับกัญชาของกลางในคดีนี้มีเพียงกรรมเดียวเท่านั้น หาใช่หลายกรรมดังที่โจทก์ฎีกาไม่

พิพากษายืน

Share