คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2422/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานชิงทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 339 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี โดยบรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันชิงทรัพย์ โดยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธจี้และขู่เข็ญว่าถ้า ไม่ยอมจะฆ่าให้ตาย มิได้บรรยายว่าทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายเป็นของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยย่อมเป็นฟ้องที่ขาดสารสำคัญไม่ครบองค์ประกอบแห่งความผิดของบทกฎหมายดังกล่าว นอกจากนี้การที่ฟ้องโจทก์ไม่ได้กล่าวถึงตัวบุคคลผู้ถูกจำเลยใช้มีดจี้ ขู่เข็ญและเป็นเจ้าของทรัพย์ไว้เลย ถือได้ว่าฟ้องโจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีอีกด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 158(5).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339,340 ตรี, 83 และสั่งริบรถจักรยานยนต์ของกลางกับให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 1,550 บาท และให้คืนเงิน 500 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ำจเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรค 3 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรีวางโทษจำคุกคนละ 15 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามมาตรา 78หนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 10 ปี เนื่องจากได้ความว่าผู้เสียหายได้รับเงินคืนไปแล้ว 500 บาท จึงให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินแก่ผู้เสียหาย 1,050 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ โดยให้ยกฟ้องโจทก์ตลอดไปถึงจำเลยที่ 2ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์ก่อนว่า ฟ้องโจทก์สมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ประกอบด้วย มาตรา 340 ตรี โดยบรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันชิงทรัพย์ โดยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธจี้และขู่เข็ญว่าถ้าไท่ยอมจะฆ่าให้ตาย มิได้บรรยายว่าทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายเป็นของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยย่อมเป็นฟ้องที่ขาดสารสำคัญไม่ครบองค์ประกอบแห่งความผิดของบทกฎหมายดังกล่าว นอกจากนี้การที่ฟ้องโจทก์ไม่ได้กล่าวถึงตัวบุคคลผู้ถูกจำเลยใช้มีดจี้ ขู่เข็ญ และเป็นเจ้าของทรัพย์ไว้เลย ถือได้ว่าฟ้องโจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีอีกด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185(5) คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share