คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2420/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองระบุว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์โดยจะขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์งวดแรกภายในหนึ่งสัปดาห์นับแต่วันนี้เป็นเงิน 60,000 บาทและงวดต่อไปอีกงวดละ 60,000 บาท ไปจนครบรวม 10 งวดโจทก์จึงจะถือว่าเป็นการระงับคดีอาญาที่ศาลนี้ ข้อความดังกล่าวเป็นข้อตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คเท่านั้น มิใช่เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ หนี้เดิมยังอยู่ส่วนที่นำหนี้อื่นมารวมผ่อนชำระด้วยก็เพียงเพื่อความสะดวกไม่ต้องทำหนังสือหลายฉบับ ทั้งมิได้มีการเพิ่มเติมลูกหนี้แต่อย่างใดเพราะโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามเช็คพิพาทอยู่แล้ว จำเลยทั้งสองจะต้องชำระหนี้ดังกล่าวจนครบ จึงจะถือว่าคดี อาญาระงับ ข้อตกลงดังกล่าวจึงมิใช่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ การทำหนังสือดังกล่าวหาทำให้คดีอาญาเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 7 ไม่ สิทธินำคดี อาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ลงโทษจำเลยที่ 1 ปรับกระทงละ30,000 บาท รวมปรับ 90,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุกกระทงละ 2 เดือนรวมจำคุก 6 เดือน สำหรับจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนโดยศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งจ่ายเช็คทั้งสามฉบับตามฟ้องชำระหนี้ค่าจ้างพิมพ์หนังสือแก่โจทก์เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสามฉบับต่อมาโจทก์และจำเลยทั้งสองทำหนังสือผ่อนชำระหนี้กันตามเอกสารหมาย ล.2 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าการที่โจทก์และจำเลยทั้งสองทำหนังสือผ่อนชำระหนี้กันดังกล่าวคดีอาญาเลิกกันหรือไม่โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองตามหนังสือเอกสารหมาย ล.2 เป็นการแปลงหนี้ใหม่เนื่องจากคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ และเป็นการเพิ่มเติมเงื่อนไขเข้าไปในหนี้อันปราศจากเงื่อนไขรวมทั้งเป็นการเพิ่มเติมตัวลูกหนี้ และเป็นสัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการชำระหนี้ซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน อันเป็นการประนีประนอมยอมความต่อกันนั้นเห็นว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองตามเอกสารหมาย ล.2 ระบุว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์โดยจะขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์งวดแรกภายในหนึ่งสัปดาห์นับแต่วันนี้เป็นเงิน 60,000 บาท และงวดต่อไปอีกงวดละ 60,000 บาทไปจนครบรวม 10 งวด โจทก์จึงจะถือว่าเป็นการระงับคดีอาญาที่ศาลนี้ ดังนี้ เห็นได้ชัดว่า ข้อความดังกล่าวเป็นข้อตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คเท่านั้น มิใช่เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ หนี้เดิมยังอยู่ส่วนที่นำหนี้อื่นมารวมผ่อนชำระด้วยก็เพียงเพื่อความสะดวกไม่ต้องทำหนังสือหลายฉบับทั้งมิได้มีการเพิ่มเติมลูกหนี้แต่อย่างใด เพราะโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามเช็คพิพาทอยู่แล้ว และตามข้อตกลงนั้นจำเลยทั้งสองจะต้องผ่อนชำระหนี้จนครบ 10 งวด โจทก์จึงจะถือว่าเป็นการระงับคดีอาญาถ้าหากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมดยอมให้โจทก์ดำเนินการตามกฎหมายทันที แสดงว่าจำเลยทั้งสองจะต้องชำระหนี้ตามข้อตกลงจนครบจึงจะถือว่าคดีอาญาระงับ จึงเป็นเงื่อนไขในการที่โจทก์ระงับคดีอาญาให้แก่จำเลยทั้งสอง และตามข้อตกลงดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าโจทก์ตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยทั้งสองในทันทีข้อตกลงดังกล่าวและจำเลยทั้งสองทำหนังสือผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวหาทำให้คดีอาญาเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share