คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 2 กำลังไขกุญแจคอรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายและถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม เป็นการลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว จำเลยที่ 1 ขับขี่รถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายไปที่เกิดเหตุยามวิกาลแล้วยืนอยู่ใกล้เคียงกับจำเลยที่ 2 ในขณะเกิดเหตุ น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ร่วมรู้ร่วมคิดกับจำเลยที่ 2ในการลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายโดยยืนคุมเชิงพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ถือได้ว่าแบ่งหน้าที่กันทำเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกับจำเลยที่ 2.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายโดยทุจริต โดยจำเลยทั้งสองใช้กุญแจเปิดสวิตซ์ไฟเพื่อติดเครื่องยนต์เอารถจักรยานยนต์ไปแต่กระทำไปไม่ตลอด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335 (1)(7), 80, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335(1)(7) ประกอบด้วยมาตรา 80 ให้จำคุก 3 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยนำสืบโดยไม่โต้แย้งกันว่า ขณะเกิดเหตุรถจักรยานยนต์คันของผู้เสียหายจอดอยู่บนทางเท้าหน้าบ้านเพื่อของผู้เสียหาย บริเวณถนนสี่พระยา รถจักรยานยนต์คันของจำเลยที่ 1 จอดอยู่ริมถนนใกล้เคียงกันกับที่รถจักรยานยนต์คันของผู้เสียหายจอดอยู่ และจำเลยที่ 1 ที่ 2ยืนอยู่ในที่เกิดเหตุนั้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคือจำเลยทั้งสองร่วมกันพยายามลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ในข้อนี้โจทก์มีจ่าสิบตำรวจมงคล เรืองเกตุ เบิกความว่าเห็นจำเลยทั้งสองยืนอยู่ข้างรถจักรยานยนต์คันที่จอดอยู่บนทางเท้า จำเลยที่ 2กำลังไขกุญแจที่คอรถจักรยานยนต์ จำเลยที่ 1 ยืนห่างออกไปประมาณ4-5 เมตร นายดาบตำรวจเปรมศักดิ์ พุทธปัญญา เบิกความว่าเห็นจำเลยที่ 2 ยืนอยู่ใกล้รถจักรยานยนต์คันที่จอดอยู่บนทางเท้า ทำท่าเหมือนจะไขรถจักรยานยนต์ จำเลยที่ 1 ยืนอยู่ใกล้กัน เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขณะเกิดเหตุทำหน้าที่สายตรวจโดยเฉพาะจ่าสิบตำรวจมงคลทำหน้าที่สาบสืบมาแล้วประมาณ 10 ปี ย่อมมีความเข้าใจและสังเกตเห็นความเป็นพิรุธของจำเลยทั้งสองได้ดีว่าในอาการกิริยาเช่นนั้นนต่าจะเป็นคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ แม้ว่าพยานโจทก์ทั้งสองจะเห็นไม่ตรงกันดดยจ่าสิบตำรวจมงคลเห็นจำเลยที่ 2 กำลังไขกุฐแจคอรถจักรยานยนต์ นายดาบตำรวจเปรมศักดิ์เห็นจำเลยที่ 2 ทำท่าเหมือนจะไขรถจักรยานยนต์ก็เป็นเรื่องแตกต่างกันในพลความซึ่งนายดาบตำรวจเปรมศักดิ์อาจจะเห็นจำเลยที่ 2 ก่อนหรือหลังการไขกุญแจที่คอรถจักรยานยนต์ก็ได้ นายดาบตำรวจเปรมศักดิ์ไม่เบิกความว่าเห็นจำเลยที่ 2 กำลับไขกุญแจที่คอรถจักรยานยนต์ให้เหมือนกับคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจมงคล ทำให้น่าเชื่อถือว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความไปตามความจริงที่รู้เห็น และเมื่อพยานโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นจำเลยที่ 2 ยังได้พบกุญแจ1 พวง จำนวน 5 ดอก เป็นกุญแจรถชนิดต่าง ๆ และพบเหล็กดัดคล้ายกุญแจอีก 2 อัน สนับสนุนให้น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 มีไว้ใช้ในการลักรถจักรยานยนต์ ข้อกล่าวแก้ของจำเลยที่ 2 อ้างว่าขณะเกิดเหตุไปรอเพื่อนที่บริเวณที่พักผู้โดยสารรถประจำทางหัวถนนสี่พระยา ระหว่างรอได้ไปหยิบผ้าที่รถจักรยานยนต์คันของผู้เสียหายเพื่อจะนำไปเช็คทำความสะอาดที่นั่งที่พักผู้โดยสารดังกล่าวก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมกล่าวหาว่าพยายามลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย และว่ากุญแจของจำเลยที่ 2 เป็นกุญแจรถยนต์และกุญแจบ้าน ส่วนเหล็กดัดคล้ายกุญแจเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการซ่อมไฟฟ้าของเพื่อนนั้นจำเลยที่ 2 ไม่ได้นำสืบให้ได้ความว่าเป็นกุญแจรถยนต์คันไหนของใครและเป็นกุญแจบ้านจริงหรือไม่ ข้อกล่าวแก้ของจำเลยที่ 2 ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้ไขกุญแจคอรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย เป็นการลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว สำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายไปที่เกิดเหตุในยามวิกาล แล้วยืนอยู่ใกล้เคียงกับจำเลยที่ 2ในขณะเกิดเหตุ น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ร่วมรู้ร่วมคิดกับจำเลยที่ 2ในการลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายโดยยืนคุมเชิงพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ถือได้ว่าแบ่งหน้าที่กันทำเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกับจำเลยที่ 2 ข้อกล่าวแก้ของจำเลยที่ 1 เพียงว่าไปจอดรถจักรยานยนต์ไว้ที่บริเวณที่พักผู้โดยสารรถประจำทางถูกเจ้าพนักงานตำรวจว่ากล่าว ห้ามมิให้จอดและสงสัยว่าจะร่วมกันลักทรัพย์นั้น ไม่มีเหตุผลที่เจ้าพนักงานตำรวจจะสงสัยว่าจำเลยที่ 1ร่วมลักทรัพย์โดยไม่มีพฤติการณ์ใดให้เป็นที่สงสัยขึ้นก่อนข้อกล่าวแก้ของจำเลยที่ 1 ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้เช่นเดียวกัน…”
พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7) วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 80 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525) มาตรา 11ให้จำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือน ริบของกลาง.

Share