แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ขณะทำการปล้นทรัพย์ คนร้ายใช้อาวุธปืนส่าย ไปมา ผู้เสียหายและ ส. พยานย่อมตกใจกลัว ประกอบกับคนร้ายใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการปล้นทรัพย์ โอกาสที่ผู้เสียหายและ ส. จะเห็นหน้าคนร้ายจึงมีน้อยมาก ประกอบกับเจ้าพนักงานตำรวจจับคนร้ายได้หลังเกิดเหตุถึง 4 ปี 6 เดือน จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายและ ส. จะจำหน้าคนร้ายได้ ถึงแม้ผู้เสียหายและ ส. จะชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องแต่ก่อนจะชี้ตัวจำเลยก็ได้เห็นจำเลยมาก่อนแล้ว การชี้ตัวของผู้เสียหายและ ส. จึงมีพิรุธ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอที่จะฟังลงโทษจำเลยได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519ข้อ 3, 6, 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี, 371,83, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514ข้อ 14, 15 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 594,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า …จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 83,371 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 10 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2514 ข้อ14, 15 ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและยานพาหนะ จำคุก 22 ปี6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 100 บาท รวมโทษ 2กระทง จำคุก 22 ปี 6 เดือน และปรับ 100 บาท ให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 594,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ข้อหานอกจากนี้ยกฟ้อง ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในปัญหาที่ว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่โจทก์มีนายทรงศักดิ์ แซ่ลิ้ม ผู้เสียหายและนางสาวสมควรโพธิ์ธารินทร์ เบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์เอาทองคำของผู้เสียหายไปเห็นว่า ขณะทำการปล้นทรัพย์ คนร้ายใช้อาวุธปืนส่ายไปมาผู้เสียหายและนางสาวสมควรย่อมตกใจกลัว ประกอบกับคนร้ายใช้เวลาในการปล้นทรัพย์เพียงเล็กน้อย โอกาสที่ผู้เสียหายและนางสาวสมควรจะเห็นหน้าคนร้ายจึงมีน้อยมาก ประกอบกับเจ้าพนักงานตำรวจจับคนร้ายได้หลังเกิดเหตุเกือนถึง 4 ปี 6 เดือน จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายและนางสาวสมควรจะจำหน้าคนร้ายได้ถึงแม้ผู้เสียหายและนางสาวสมควรชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้อง แต่เมื่อนางสาวสมควรเบิกความตามคำถามค้านว่า ก่อนที่จะชี้ตัวจำเลย พยานก็เห็นจำเลยมาก่อนแล้วการชี้ตัวของผู้เสียหายและนางสาวสมควรจึงมีพิรุธ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอที่จะฟังลงโทษจำเลยได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.