แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยต่างมีคู่สมรสอยู่ก่อนแล้ว ต่อมาได้มาอยู่กินฉันสามีภริยาและช่วยกันประกอบอาชีพขับรถรับส่งผู้โดยสารทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ในระหว่างนั้นเป็นของโจทก์และจำเลยร่วมกันคนละเท่า ๆ กัน โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอแบ่งส่วนของโจทก์จากจำเลยได้ และแม้ทรัพย์สินดังกล่าวจะเกิดขึ้นในขณะที่โจทก์จำเลยอยู่ร่วมกันโดยยังมิได้ขาดจากการสมรสอยู่กับคู่สมรสเดิมก็หาเป็นเหตุขัดข้องในการขอแบ่งไม่ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยหาใช่เป็นหุ้นส่วนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1012 ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2522 โจทก์แต่งงานกับจำเลยแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสระหว่างอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา มีบุตรด้วยกัน1 คน และได้ร่วมทำมาหากินด้วยการประกอบกิจการเดินรถรับจ้างมีทรัพย์สินร่วมกันโดยเป็นส่วนของโจทก์ราคา 71,000 บาท ต่อมากลางปี 2528 จำเลยไล่โจทก์ออกจากบ้านโดยไม่ยอมแบ่งทรัพย์สินใด ๆ ให้โจทก์ ขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินจำนวนตามฟ้องให้โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยไม่เคยแต่งงานหรืออยู่กินกันฉันสามีภริยา โจทก์เป็นพนักงานขับรถยนต์ของจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 37,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์จำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาและช่วยกันประกอบอาชีพขับรถรับส่งผู้โดยสารทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ในระหว่างนั้นจึงเป็นของโจทก์และจำเลยร่วมกันคนละเท่า ๆ กัน ซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอแบ่งส่วนของโจทก์จากจำเลยได้ ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยหาใช่เป็นหุ้นส่วนกันตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 ไม่และกรณีที่ทางพิจารณาได้ความเช่นนี้ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยแบ่งส่วนให้โจทก์ได้ และแม้ทรัพย์สินดังกล่าวจะเกิดขึ้นในขณะที่โจทก์จำเลยอยู่ร่วมกันโดยยังมิได้ขาดจากการสมรสกับคู่สมรสเดิม ก็หาเป็นเหตุขัดข้องในการแบ่งดังที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกาไม่
พิพากษายืน.