คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2411/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นของล.มารดาม.เมื่อปี2505ล.ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งจึงได้มอบอำนาจให้ม. ใส่ชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนล.โดยกำชับไว้ว่าเมื่อล. ถึงแก่กรรมให้จัดแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ทายาททั้ง8คนของล.ต่อมาเมื่อล.ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์มรดกของล.ตกได้แก่ทายาททั้ง8คนหาใช่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของม.แต่เพียงผู้เดียวไม่จำเลยได้รับอนุญาตจากทายาททั้ง8คนรวมทั้งม. ให้ปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทได้ตลอดชีวิตของจำเลยโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนแม้สิทธิของจำเลยตามที่จำเลยกล่าวอ้างเป็นทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งการได้มานั้นไม่บริบูรณ์เพราะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1299วรรคหนึ่งแต่บทบัญญัติดังกล่าวหาได้กำหนดให้ตกเป็นโมฆะไม่คงเป็นบุคคลสิทธิที่มีผลผูกพันคู่สัญญาและแม้ตามคำให้การของจำเลยจะมิได้ปรากฎว่าโจทก์ผู้จัดการมรดกของม.รู้เห็นยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นด้วยแต่หากฟังได้ว่าเป็นความจริงก็เป็นเรื่องเจ้าของรวมจัดการทรัพย์สินในเรื่องอันเป็นสาระสำคัญซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1358วรรคสามให้ตกลงกันโดยคะแนนข้างมากแห่งเจ้าของรวมจำเลยจึงอาจมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทได้คดีจึงมีความจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวต่อไปไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะด่วนสั่งให้งดสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาขับไล่จำเลยตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมนายมนัส สำอางค์ สามีโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 288 ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมืองระนองจังหวัดระนอง และได้ให้จำเลยเช่าที่ดินบางส่วนเนื้อที่ประมาณ64 ตารางวา อยู่อาศัยโดยไม่มีกำหนดเวลาคิดค่าเช่าปีละ 400 บาทไม่ได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือ ในที่ดินที่เช่ามีบ้านชั้นเดียวเลขที่ 74/9 ของจำเลยปลูกอยู่ ต่อมาสามีโจทก์ถึงแก่กรรม โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดังกล่าวแต่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าที่ดินให้โจทก์และไม่ยอมทำสัญญาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าที่ดินอีกต่อไปจึงให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกการเช่า กับให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินที่เช่า จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วแต่เพิกเฉย เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอคิดค่าเสียหายปีละ 400 บาทตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 400 บาทขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและบ้านเรือนของจำเลยออกไปด้วยและให้ส่งมอบที่ดินแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 400 บาทและชำระค่าเสียหายปีละ 400 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดิน กับให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทหากแต่ที่ดินพิพาทเป็นของนางเหล่า สำอางค์ ซึ่งมีบุตคล 8 คนรวมทั้งนายมนัส สามีโจทก์ เมื่อประมาณปี 2505 นางเหล่าป่วยด้วยโรคมะเร็ง ได้มอบอำนาจให้นายมนัสใส่ชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนนางเหล่าโดยกำชับว่าเมื่อนางเหล่าถึงแก่กรรมแล้วให้นายมนัสแบ่งที่ดินพิพาทให้พี่น้องทุกคน หลังจากนางเหล่าถึงแก่กรรมแล้วที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาททั้ง 8 คน หาใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของนายมนัสเพียงผู้เดียวไม่ต่อมาเมื่อประมาณปี 2516 จำเลยได้ขออนุญาตปลูกสร้างบ้านพักอาศัยในที่ดินพิพาทจากทายาทของนางเหล่า ทั้งหมด ทายาทนางเหล่าทั้ง 8 คน ต่างให้ความยินยอมอนุญาตให้จำเลยปลูกสร้างบ้านพักอาศัยในที่ดินพิพาทได้ตลอดชีวิตของจำเลยโดยไม่คิดค่าตอบแทน จำเลยจึงอยู่ในที่ดินพิพาทเรื่อยมา ขณะนี้ทายาทของนางเหล่าซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทยังคงยินยอมให้จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไป โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและจำเลยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนเริ่มสืบพยาน โจทก์แถลงว่าโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายมนัสสามีตามคำสั่งศาลและไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยได้แล้ว มีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโฉนดที่ 288 ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมืองระนองจังหวัดระนอง และให้ส่งมอบที่ดินแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยคำขออื่นให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังได้ยุติว่า ที่ดินพิพาทมีโฉนดเป็นเอกสารสำคัญสำหรับที่ดินมีชื่อนายมนัส สำอางค์ สามีโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวมาตั้งแต่ปี 2505 เมื่อนายมนัสถึงแก่กรรมจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลชั้นต้น และได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลย ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปในประเด็นที่ว่ามีข้อตกลงผูกพันกันให้จำเลยปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทได้ตลอดชีวิตของจำเลยโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนใด ๆนั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่าจำเลยให้การว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนางเหล่า สำอางค์ มารดานายมนัส เมื่อปี 2505 นางเหล่าล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งจึงได้มอบอำนาจให้นายมนัสใส่ชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนนางเหล่าโดยกำชับไว้ว่าเมื่อนางเหล่าถึงแก่กรรมให้จัดแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ทายาททั้ง 8 คน ของนางเหล่า ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 2505 นางเหล่าถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์มรดกของนางเหล่าตกได้แก่ทายาททั้ง 8 คนหาใช่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายมนัสแต่เพียงผู้เดียวไม่จำเลยได้รับอนุญาตจากทายาททั้ง 8 คน รวมทั้งนายมนัสให้ปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทได้ตลอดชีวิตของจำเลยโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนแม้สิทธิของจำเลยตามที่จำเลยกล่าวอ้างเป็นทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งการได้มานั้นไม่บริบูรณ์เพราะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคแรก แต่บทบัญญัติดังกล่าวหาได้กำหนดให้ตกเป็นโมฆะไม่ คงเป็นบุคคลสิทธิที่มีผลผูกพันคู่สัญญา และแม้ตามคำให้การของจำเลยจะมิได้ปรากฎว่าโจทก์รู้เห็นยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นด้วย แต่หากฟังได้ว่าเป็นความจริงก็เป็นเรื่องเจ้าของรวมจัดการทรัพย์สินในเรื่องอันเป็นสาระสำคัญ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1358 วรรคสามให้ตกลงกันโดยคะแนนข้างมากแห่งเจ้าของรวม จำเลยจึงอาจมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทได้ คดีจึงมีความจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วมีคำพิพากษาใหม่นั้นศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วย
พิพากษายืน

Share