คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยนำเช็คมาแลกเงินสดกับโจทก์โดยจำเลยกล่าวหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จฯ นั้น ความผิดฐานฉ้อโกงกับความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คจนศาลประทับฟ้องแล้วโจทก์จะมาฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173วรรคสอง (1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกนำเช็คมาแลกเงินจากโจทก์โดยกล่าวหลอกลวง ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จฯ ว่าเป็นเช็คของผู้ที่มีฐานะดีกับโจทก์ก็รู้จัก อันเป็นเท็จ โจทก์หลงเชื่อจึงยอมรับแลก ซึ่งความจริงเช็คดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 เอง เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 83 และ 91

ในวันไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์แถลงว่าเช็คตามฟ้องโจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นฐานออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค คดีอยู่ระหว่างหมายเรียกจำเลยแก้คดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดไต่สวนมูลฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้อน พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยนำเช็คมาแลกเงินสดกับโจทก์ โดยกล่าวหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จฯ ว่าเช็คเป็นของ ช. ซึ่งมีฐานะดีกับโจทก์ก็รู้จัก อันเป็นเท็จ ความจริงเช็คดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 เองนั้นความผิดฐานฉ้อโกงกับความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คจนศาลมีคำสั่งประทับฟ้องแล้ว การที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจำเลยในข้อหาฐานฉ้อโกงอันเป็นกรรมเดียวกันอีก จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

พิพากษายืน

Share