แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้ออันเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องระบุไว้ชัดเจนว่าได้ทำขึ้นระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อโดย ว. ผู้รับมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจฝ่ายหนึ่งกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าซื้ออีกฝ่ายหนึ่ง เมื่ออ่านคำฟ้องแล้วจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญาย่อมเข้าใจได้ดีว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้ ว. เป็นผู้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์การที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าโจทก์มอบอำนาจให้ ส. เป็นผู้ลงนามในสัญญาแทน และส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจฉบับที่โจทก์มอบอำนาจให้ ส. มีอำนาจลงนามแทนโจทก์ประกอบคำฟ้องนั้นเป็นเพียงข้อผิดพลาดเล็กน้อย ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องได้ แม้จะเป็นการขอแก้ไขคำฟ้องหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้วและมิได้มีการส่งสำเนาคำร้องให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะเป็นการแก้ไขคำฟ้องให้ตรงกับข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญาทราบดีอยู่แล้วและเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย จึงถือมิได้ว่าทำให้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบในทางคดีแต่อย่างใด เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับตัวผู้รับมอบอำนาจแล้ว ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจรับฟังหนังสือมอบอำนาจฉบับใหม่ที่ถูกต้องแทนฉบับเดิมได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัดโจทก์มอบอำนาจให้นายสุวัฒน์ พัฒโนภาษ หรือนายนเรนทร์ อุนานุภาพ เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนและมอบอำนาจช่วงได้ นายนเรนทร์มอบอำนาจช่วงให้นายถวัลย์ จิตตริยกุล ดำเนินคดีแทน โจทก์มอบอำนาจให้นายวันชัย ธัญญาเวชกิจ ลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทน เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2538 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน 4 ฬ – 1180 กรุงเทพมหานคร ไปจากโจทก์ในราคา463,644.81 บาท ตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือน รวม 41 งวด โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 7 ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวแต่จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 243,193.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ตราที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจของโจทก์และที่ประทับในสัญญาเช่าซื้อมิได้เป็นตราสำคัญของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง สัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 142,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 21 มกราคม 2541) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาชั้นฎีกาว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว และมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยที่ 1 ทราบล่วงหน้าอย่างน้อยสามวัน ศาลชั้นต้นจึงไม่อาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องได้ ข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับตัวผู้รับมอบอำนาจให้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อจากนายสณชัย ชุติภิญโญ เป็นนายวันชัยธัญญาเวชกิจ และโจทก์ส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องผิดไป จึงขอส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจที่ถูกต้องแทนฉบับเดิม เห็นว่า ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5, 6 อันเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องระบุไว้ชัดเจนว่าสัญญาดังกล่าวได้ทำขึ้นระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อโดยนายวันชัย ธัญญาเวชกิจ ผู้รับมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจฝ่ายหนึ่งกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าซื้ออีกฝ่ายหนึ่งเมื่ออ่านคำฟ้องแล้วคู่ความโดยเฉพาะจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญาย่อมเข้าใจได้ดีว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายวันชัยเป็นผู้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ การที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายสณชัยเป็นผู้ลงนามในสัญญาแทน และส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ฉบับที่โจทก์มอบอำนาจให้นายสณชัยมีอำนาจลงนามแทนโจทก์ประกอบคำฟ้องนั้นเป็นเพียงข้อผิดพลาดเล็กน้อย ดังนั้น ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องได้ แม้จะเป็นการขอแก้ไขคำฟ้องหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้วและมิได้มีการส่งสำเนาคำร้องให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม เพราะเป็นการแก้ไขคำฟ้องให้ตรงกับข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญาทราบดีอยู่แล้วและเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยจึงถือว่ามิได้ทำให้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบในทางคดีแต่อย่างใดเมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับตัวผู้รับมอบอำนาจแล้ว ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจรับฟังหนังสือมอบอำนาจฉบับใหม่ที่ถูกต้องแทนฉบับเดิมได้ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน