แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อความและเอกสารท้ายฟ้องที่หาว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ ไม่มีความหมายชัดแจ้งอันจะพึงเห็นได้อยู่ในตัวว่าเป็นการใส่ความ ทั้งโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าข้อความตอนใดเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังอย่างไร เพียงแต่บรรยายคำว่า “อัปมงคลฟิล์ม” และ “บริษัทขี้เรื้อน” จำเลยมีเจตนาจะให้ผู้อ่านเข้าใจว่าหมายถึงโจทก์เท่านั้น จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันหมิ่นประมาทโจทก์โดยพิมพ์ข้อความลงในหนังสือพิมพ์บางกอกเดลิไทม์รายวัน ขอให้ลงโทษตามประมวลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖,๓๒๘,๓๓๒,๘๓,๘๖, ๙๑,๕๐ พระราชบัญญัติการพิมพ์ พุทธศักราช ๒๔๘๘ มาตรา ๔๘ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่น ฉบับที่ ๔๒ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ ข้อ ๒,๕ และสั่งให้ยึดและทำลายหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๒๑ ทั้งหมด ให้โฆษณาคำพิพากษาของศาลในคดีนี้ทั้งหมดในหนังสือพิมพ์ของจำเลยและฉบับอื่นด้วย ห้ามมิให้จำเลยประกอบวิชาชีพหรืออาชีพในการทำหรือจำหน่ายหนังสือพิมพ์หรือเขียนข้อความลงในหนังสือพิมพ์อีกต่อไปมีกำหนด ๕ ปีนับแต่วันพ้นโทษเป็นต้น
ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องว่า คดีนี้เป็นการฟ้องซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๐๕๐๙/๒๕๒๑ ของศาลแขวงนครเหนือ ศาลชั้นต้นสอบโจทก์ โจทก์แถลงว่า นายสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีของศาลแขวงพระนครเหนือ เป็นกรรมการบริษัทโจทก์ในคดีนี้ และเป็นผู้มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทโจทก์ด้วยได้ฟ้องเป็นการส่วนตัว จำเลยแถลงว่า ข้อความตามเอกสารท้ายฟ้องจำเลยได้เขียนในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นจริง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยาน และ เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันกระทำความผิดโดยการเขียนและพิมพ์โฆษณาซึ่งข้อความว่า “แล้วคนหนุ่มหยั่งเขาก็เชื่อสนิทใจในพฤติการณ์ “อัปมงคลฟิล์ม”….ยุทธนา มุกดาสนิท สะอึกกับคำกล่าวอ้างของ “บริษัทขี้เรื้อน” ที่ว่ากำกับหนัง ๑๓ ล้าน “แผลเก่า” เพียง ๑.๒๙% เท่านั้น…ก็ ๗ เดือน ที่ยุทธนา มุกดาสนิท ช่วยเชิด ทรงศรี กำกับฯ จนขึ้นชื่อไตเติ้ลหราว่าเป็น “ผู้ช่วยผู้กำกับฯ” นั่นมันอะไรกัน? หือม์ – มานพ อัมพุช?
” ปรากฏรายละเอียดตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง ข้อความดังกล่าวและเอกสารท้ายฟ้องไม่มีความหมายชัดแจ้งอันจะพึงเห็นได้อยู่ในตัวว่าเป็นการใส่ความ ทั้งโจทก์ก็มิได้บรรยายฟ้องว่าข้อความตอนใดเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังอย่างไร เพียงแต่บรรยายว่า คำว่า “อัปมงคลฟิล์ม” และ “บริษัทขี้เรื้อน” จำเลยมีเจตนาจะให้ผู้อ่านเข้าใจว่าหมายถึงโจทก์เท่านั้น ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ คดีไม่มีมูลดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมา ไม่จำต้องพิจารณาฎีกาข้ออื่นของโจทก์ต่อไป
พิพากษายืน