แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานตำรวจได้ข่มขืนใจผู้เสียหายให้มอบเงินแก่ตน 500 บาท โดยกล่าวหาว่าเล่นการพนัน เมื่อผู้เสียหายขอให้เพียง 100 บาทก็ไม่พอใจ ทำร้ายผู้เสียหายและแกล้งจับโดยไม่มีอำนาจนำไปส่งสถานีตำรวจเช่นนี้ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148,337 วรรคสอง,309 วรรคสอง และ295 โดยสำหรับความผิดต่อเสรีภาพตามมาตรา 309และความผิดฐานกรรโชกตามมาตรา 337 นั้น เมื่อผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้นแล้ว แม้จะยอมไม่เต็มตามที่ถูกเรียกร้องก็เป็นความผิดสำเร็จ ส่วนความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา 148เพียงแต่ผู้กระทำผิดมีเจตนาจะให้เขาส่งมอบทรัพย์สินให้ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว แม้ผู้ถูกข่มขืนใจจะไม่ยอมตามนั้นก็ตาม
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลรวมการพิจารณาพิพากษา โดยโจทก์ฟ้องทำนองเดียวกันว่าจำเลยทั้งสามเป็นตำรวจประจำหน่วยต่อต้านและปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบ (ต.ป.ส.) จังหวัดสงขลา ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการปราบปรามในเขตจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนปราบปรามและจับกุมผู้กระทำผิดได้ทั่วราชอาณาจักร ได้ร่วมกันกระทำผิดหลายบทหลายกรรม กล่าวคือ
ก. เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามมีปืนเป็นอาวุธ ร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจนายไพศาล แซ่ซอ ให้มอบเงิน 500 บาทแก่จำเลยโดยแกล้งกล่าวหาว่ามีการเล่นพนันที่บ้านนายไพศาลถ้าไม่ให้จะจับกุม นายไพศาลไม่ให้เงินตามจำนวนที่จำเลยต้องการ จำเลยก็ร่วมกันตบและชกต่อยนายไพศาลได้รับบาดเจ็บ
ข. ตามวันเวลาตามข้อ ก. จำเลยทั้งสามได้ทำให้ทรัพย์ของนายไพศาลเสียหาย คือ โต๊ะหัก แก้วและขวดแตก รวมราคา 136 บาท
ค. ตามวันเวลาในข้อ ก. จำเลยทั้งสามมีปืนเป็นอาวุธฉุดคร่าจับกุมนายไพศาลไปสถานีตำรวจภูธรสายบุรี จังหวัดปัตตานี โดยไม่ปรากฏว่านายไพศาลได้กระทำผิด เป็นการข่มขืนใจนายไพศาลและทำให้นายไพศาลปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เหตุทั้งหมดเกิดที่ตำบลเตราะบอน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 295, 309, 310,358, 83
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเชื่อว่าจำเลยทั้งสามเข้าไปในร้านของผู้เสียหายแล้วสิบตำรวจเอกอ้อมจำเลยพูดขอเงินผู้เสียหาย 500 บาท ผู้เสียหายจะให้100 บาท สิบตำรวจเอกอ้อมจำเลยตบหน้าผู้เสียหาย สิบตำรวจตรีสานิตย์จำเลย สิบตำรวจโทพินันท์จำเลยเข้าช่วยกระชากตัวผู้เสียหายขึ้นรถพาไปสถานีตำรวจภูธรอำเภอสายบุรี สิบตำรวจโทพินันท์ยังเตะโต๊ะเก้าอี้ในร้านผู้เสียหายล้ม ทำให้โต๊ะ เก้าอี้และขวดพริกดอกแตกเสียหาย แต่การกระทำของจำเลยทั้งสามไม่เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ยังไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337, 309 วรรคสอง, 295กระทงหนึ่ง ให้ลงโทษตามมาตรา 337 ซึ่งเป็นบทมีโทษหนัก จำคุกคนละ1 ปีกับมีความผิดตามมาตรา 310 อีกกระทงหนึ่ง ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือนสิบตำรวจโทพินันท์จำเลยยังมีความผิดตามมาตรา 358 อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุก 4 เดือน รวมจำคุกสิบตำรวจเอกอ้อมจำเลย สิบตำรวจตรีสานิตย์ จำเลยคนละ 1 ปี 6 เดือน จำคุกสิบตำรวจโทพินันท์จำเลย 1 ปี 10 เดือน ลดโทษให้จำเลยคนละหนึ่งในสี่ตามมาตรา 78 คงจำคุกสิบตำรวจเอกอ้อมจำเลยสิบตำรวจตรีสานิตย์จำเลยคนละ 1 ปี 1 เดือน 15 วัน จำคุกสิบตำรวจโทพินันท์จำเลย 1 ปี 4 เดือน 15 วัน
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า สิบตำรวจเอกอ้อมจำเลยกระทำผิดจริงดังฟ้อง แต่สิบตำรวจโทพินันท์ และสิบตำรวจตรีสานิตย์มิได้ร่วมกระทำผิดด้วย และฟังไม่ได้ว่าสิบตำรวจโทพินันท์เตะโต๊ะล้ม สำหรับสิบตำรวจเอกอ้อมได้ข่มขืนใจผู้เสียหายให้มอบเงินให้แก่ตนในฐานะที่เป็นตำรวจ โดยกล่าวหาว่าผู้เสียหายเล่นการพนัน เมื่อผู้เสียหายไม่ให้เงิน สิบตำรวจเอกอ้อมก็ทำร้ายและจับผู้เสียหายไปเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ แต่การกระทำไม่บรรลุผลเพราะผู้เสียหายไม่ยอมให้เงิน พิพากษาแก้เป็นว่าสิบตำรวจเอกอ้อมจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 337 วรรคสอง, 309 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 295 กระทงหนึ่ง ลงโทษตามมาตรา 148,80 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 ให้จำคุก 3 ปี 4 เดือน ความผิดตามมาตรา 310 จำคุก 6 เดือน รวมเป็นโทษจำคุก 3 ปี 10 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เหลือโทษจำคุก 2 ปี 10 เดือน 15 วันให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะสิบตำรวจโทพินันท์ และสิบตำรวจตรีสานิตย์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามฟ้อง
สิบตำรวจเอกอ้อมจำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงคงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า สิบตำรวจเอกอ้อมจำเลยในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ข่มขืนใจผู้เสียหายให้มอบเงินแก่ตนโดยกล่าวหาว่าผู้เสียหายเล่นการพนัน เมื่อผู้เสียหายไม่มอบเงินให้ตามที่ตนต้องการ สิบตำรวจเอกอ้อมจำเลยก็ทำร้ายผู้เสียหายและแกล้งจับผู้เสียหายโดยไม่มีอำนาจ การกระทำของสิบตำรวจเอกอ้อมจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 337 วรรคสอง และ 309 วรรคสองเพราะสำหรับความผิดต่อเสรีภาพตามมาตรา 309 และความผิดฐานกรรโชกตามมาตรา 337 นั้น เมื่อผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้นแล้ว แม้จะยอมไม่เต็มตามที่ถูกเรียกร้อง ก็เป็นความผิดสำเร็จส่วนความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา 148 เพียงแต่ผู้กระทำผิดมีเจตนาจะให้เขาส่งมอบทรัพย์สินให้ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว แม้ผู้ถูกข่มขืนใจจะไม่ยอมตามนั้นก็ตาม
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า สิบตำรวจเอกอ้อมจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 337 วรรคสอง, 309 วรรคสอง และ 295 กระทงหนึ่ง ให้ลงโทษตามมาตรา 148 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 กับมีความผิดตามมาตรา 310 อีกกระทงหนึ่งให้จำคุกสิบตำรวจเอกอ้อมสำหรับความผิดกระทงแรก 5 ปี กระทงหลัง 6 เดือนรวมเป็นโทษจำคุก5 ปี 6 เดือน เมื่อลดโทษ 1 ใน 4 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว คงเหลือโทษจำคุก 4 ปี 1 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์