แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท การที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้สิทธิเหนือที่พิพาทโดยซื้อมาจากเจ้าของเดิมก็ดี โดยการครอบครองปรปักษ์ก็ดี หรือที่พิพาทตกอยู่ภายใต้ภาระจำยอมแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยก็ดีพร้อมกับฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ให้โจทก์ไปจดทะเบียนภาระจำยอมแก่จำเลยนั้น ฟ้องแย้งของจำเลยก็คือเหตุผลอันเดียวกับที่ให้การไว้ ซึ่งจำเลยชอบที่จะอ้างสิทธิต่าง ๆ ขึ้นใช้ยันโจทก์ เพราะไม่แน่ว่าศาลจะฟังข้อเท็จจริงในรูปใด ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขัดแย้งกันเองและไม่เคลือบคลุม
การที่บุคคลเข้าไปถมที่และล้อมรั้วเพื่อแสดงแนวเขตที่แน่นอนในที่ดินของบุคคลอื่น แม้บุคคลนั้นจะมิได้เข้าอยู่อาศัยหรือมอบหมายให้ผู้ใดเข้าอยู่แทนในที่ดินนั้นก็ตามถือได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของบุคคลอื่นแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่๑๕๘๓๙ และ ๑๕๘๔๐ ตามลำดับ อยู่ที่ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ที่ดินจำเลยติดกับที่ดินโจทก์ทางด้านทิศใต้ เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๘ จำเลยได้ปลูกสร้างโกดังเก็บสินค้า ที่พักคนงานและสร้างรั้วกั้นที่ดินของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ ๒๑ ตารางวา โจทก์ทราบเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๒๓ ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท จากวันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๕๘,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หากไม่ปฏิบัติให้โจทก์เข้ารื้อถอนโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่าย และชำระค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อจำเลยซื้อที่ดินจากผู้มีชื่อแล้วก็ปลูกสร้างโรงเรือนโดยสุจริต ที่ดินโจทก์จึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินจำเลย จำเลยครอบครองที่พิพาทต่อจากเจ้าของเดิมรวมระยะเวลาเกิน ๑๐ ปีแล้ว ที่พิพาทจึงตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครอง ที่พิพาทหากให้เช่าได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ ๕๐ บาทขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ให้โจทก์ไปจดทะเบียนสิทธิในที่ดินพิพาทเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินจำเลย หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งเคลือบคลุม จำเลยเพิ่งปลูกสร้างอาคารเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ทั้งที่พิพาทก็มิได้ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินจำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ฟ้องแย้งของจำเลยไม่เคลือบคลุม จำเลยครอบครองที่พิพาท ๒๑ ตารางวาโดยปรปักษ์ จึงได้กรรมสิทธิ์ และให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าฟ้องแย้งของจำเลยอ้างสิทธิขึ้นยันโจทก์เป็นความสามฝักสามฝ่าย ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง และมาตรา ๑๗๗ วรรคสอง เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า ข้ออ้างตามฟ้องแย้งของจำเลยก็คือเหตุผลเดียวกันกับข้อต่อสู้ในคำให้การ ซึ่งจำเลยชอบที่จะอ้างสิทธิต่าง ๆ ซึ่งตนมีอยู่โดยชอบด้วยกฎหมายขึ้นใช้ยันโจทก์ได้ เพราะเป็นการไม่แน่นอนว่าการฟังข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นพิพาทในคดีของศาลจะออกมาในรูปใด จำเลยจึงจำต้องหยิบยกข้อกฎหมายซึ่งเห็นว่าเป็นคุณแก่ตนขึ้นกล่าวอ้างไว้ทุกกรณี การที่จำเลยอ้างว่าได้สิทธิเหนือที่พิพาทโดยการซื้อมาจากเจ้าของเดิมก็ดี โดยการครอบครองปรปักษ์ก็ดี หรือที่พิพาทอยู่ภายใต้ภาระจำยอมแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยก็ดี หาใช่เป็นการกล่าวอ้างสามฝักสามฝ่ายอันจะถือเป็นเรื่องขัดแย้งกันเองดังโจทก์ฎีกาไม่ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุมส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าระยะเวลาการครอบครองที่พิพาทของจำเลยยังไม่ครบ ๑๐ ปี เพราะก่อนหน้านั้นตามข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่านางจำลองเจ้าของเดิมได้ครอบครองปรปักษ์ต่อโจทก์อันจะมีผลให้จำเลยนับระยะเวลาครอบครองติดต่อกันได้นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อนางจำลองซื้อที่ดินจากนางทองย้อยผู้จัดสรรที่ดินแล้วได้ออกโฉนดในนามนางจำลอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ แล้วนางจำลองได้จัดการถมที่และจ้างนายทองอยู่ให้เป็นผู้ล้อมรั้วลวดหนามพร้อมทั้งดูแลที่ของตนด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าแม้นางจำลองจะมิได้เข้าอยู่หรืออาศัยหรือมอบหมายให้ผู้ใดเข้ามาอยู่แทนก็ตาม การถมที่และล้อมรั้วเพื่อแสดงแนวเขตที่แน่นอนอันเป็นสิทธิของตนเหนือที่ดินย่อมถือได้ว่าเป็นการแสดงออกซึ่งการครอบครอง เมื่อนับรวมเวลาที่จำเลยครอบครองต่อมาจึงเกินกว่า๑๐ ปีก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ ที่พิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครอง
พิพากษายืน.