คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2406/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์ที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติก่อนกฎกระทรวงกำหนดให้ที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติใช้บังคับ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด แม้จำเลยจะไม่ฎีกาข้อนี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่จำนวน ๔๒ ไร่ และตัดฟัน ถางต้นไม้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้ชนิดต่างๆ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ กฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๕๘ (พ.ศ. ๒๕๑๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ ลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๑๖ ให้จำเลยและบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ และว่าจำเลยครอบครองที่เกิดเหตุประมาณ ๒๐ ไร่ โดยผู้บุกเบิกที่ดินนี้มาก่อนยกให้จำเลยทำกินเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่จำนวน ๒๐ ไร่ พยานหลักบานไม่พอฟังว่าจำเลยตัดฟันต้นไม้อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้ในป่าตามฟ้อง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ วรรคแรก กฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๕๘ (พ.ศ. ๒๕๑๖) ลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๑๖ จำคุก ๖ เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก ๓ เดือน ให้จำเลยและบริวารออกจากป่าสงวนตามฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริง จำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่ ๔๒ ไร่ พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๓๑ วรรคสอง จำคุก ๒ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาว่าขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยยึดถือครอบครองที่เกิดเหตุเพียง ๒๐ ไร่ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ กรณีจึงเป็นเรื่องที่เข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในป่าสงวนแห่งชาติ ก่อนกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๕๘ (พ.ศ. ๒๕๑๖) ลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๑๖ กำหนดให้ที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ใช้บังคับ การกระทำของจำเลยยกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๕, ๒๑๕ และ ๒๒๕
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share