แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
พนักงานสอบสวนได้สอบสวนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทหารประจำการที่ร่วมกระทำผิดกับพลเรือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ หลังจากวันนั้นพันโทส.นายทหารพระธรรมนูญ ได้เข้าฟังการสอบสวนพนักงานสอบสวนจึงได้สอบสวนจำเลยที่ 1 เพิ่มเติมต่อหน้าพันโทส.จำเลยที่ 1 ได้ให้การปฏิเสธ ส่วนการสอบสวนพยานอื่นพันโทส.ได้เข้าฟังการสอบสวนพยาน โดยพนักงานสอบสวนได้สอบสวนพยานและได้อ่านสำนวนการสอบสวนทั้งหมดให้พันโทส.ฟังแล้วพันโทส.คงติดใจประเด็นการสอบสวนบางประเด็นจะได้ทำบันทึกให้พนักงานสอบสวนในภายหลัง ส่วนการสอบสวนพยานเพิ่มเติมต่อไปนั้นพันโทส.ไม่ติดใจฟังการสอบสวน จึงฟังได้ว่าการที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนจำเลยที่ 1 โดยไม่มีฝ่ายทหารเข้าร่วมในการสอบสวนนั้น ได้มีการแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว การสอบสวนจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ได้มีคนร้ายหลายคนร่วมกันเข้าไปในสถานีรถไฟจังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นสาธารณสถานสำหรับขนถ่ายสินค้า และใช้วัตถุไขเปิดกุญแจประตูโรงเก็บน้ำมันเชื้อเพลิง กรองน้ำมันเชื้อเพลิงและจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถจักรอุบลราชธานีเปิดประตูเข้าไปในโรงเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว ลักเอาน้ำมันเชื้อเพลิงโซล่าจำนวน 130 ลิตร ราคา 700 บาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทยผู้เสียหายไปโดยทุจริตโดยคนร้ายหลายคนดังกล่าวร่วมกันใช้รถยนต์กระบะบรรทุก 1 คัน และรถจักรยานยนต์ 1 คัน เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำความผิดดังกล่าวและพาเอาทรัพย์นั้นไป เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยที่ 1 และนายประพิศหรือประพิตร แก้วบัวขาว จำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1440/2529ของศาลชั้นต้นได้พร้อมถังน้ำมันบรรจุน้ำมันโซล่าของการรถไฟจำนวน130 ลิตร 1 ถัง ซึ่งถูกลักไปกับรถกระบะคันหมายเลขทะเบียน บ-0305อุบลราชธานี ซึ่งเป็นของบุคคลอื่นที่มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดคดีนี้ และรถจักรยานยนต์ 1 คัน ถังเหล็กขนาด 200 ลิตร 3 ถังถังพลาสติกขนาด 30 ลิตร 1 ถัง กับสายยางพลาสติกยาว 30 เมตร1 เส้น ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสองและจำเลยที่ 2ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1440/2529 ของศาลชั้นต้น เป็นของกลางและตามวันเวลาดังกล่าวข้างต้นเจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 2 ได้ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองนี้กับจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1440/2529 ของศาลชั้นต้นได้ร่วมกันเป็นคนร้ายลักทรัพย์หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้งสองนี้กับจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1440/2529 ของศาลชั้นต้นได้ร่วมกันรับเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกลักไปดังกล่าวไว้จากคนร้ายเพื่อซ่อนเร้น เพื่อจำหน่ายเพื่อพาเอาไปเสียโดยจำเลยทั้งสองกับพวกดังกล่าวรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดเข้าลักษณะลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 336 ทวิ,357
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป ในสถานีรถไฟและผ่านสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์และใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3)(7)(8)(9) มาตรา 336ทวิจำคุก 3 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(3)(7)(8)(9) มาตรา 336 ทวิ จำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จะได้วินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ก่อนจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นทหารประจำการสังกัดมณฑลทหารบกที่ 6 การสอบสวนคดีนี้พนักงานสอบสวนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงมหาดไทยเรื่องการปฏิบัติและประสานงานเกี่ยวกับกรณีที่ทหารเป็นผู้เสียหายหรือเป็นผู้ต้องหาในความผิดอาญา พ.ศ.2498 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2518ข้อ 26 ทวิ ทำการสอบสวนโดยไม่มีฝ่ายทหารนั่งฟังการสอบสวนด้วยจึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เท่ากับไม่มีการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลไม่ได้ เห็นว่ากระทรวงกลาโหมได้มีข้อตกลงกับกระทรวงมหาดไทยตามที่จำเลยที่ 1 นำสืบจริงตามเอกสารหมาย ล.1คดีนี้พนักงานสอบสวนได้สอบสวนจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม2529 จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.12 หลังจากนั้นพันโทสัทพงศ์ จารุมิสกุล นายทหารพระธรรมนูญประจำมณฑลทหารบกที่ 6ได้เข้าฟังการสอบสวน พนักงานสอบสวนจึงได้สอบสวนจำเลยที่ 1 เพิ่มเติมต่อหน้าพันโทสัทพงศ์ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2529 จำเลยที่ 1ได้ให้การปฏิเสธ ส่วนการสอบสวนพยานอื่นนั้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม2529 พันโทสัทพงศ์ได้เข้าฟังการสอบสวนพยาน โดยพนักงานสอบสวนได้สอบสวนพยานและได้อ่านสำนวนการสอบสวนทั้งหมดให้พันโทสัทพงศ์ฟังแล้ว พันโทสัทพงศ์คงติดใจประเด็นการสอบสวนบางประเด็นจะได้ทำบันทึกให้พนักงานสอบสวนในภายหลัง ส่วนการสอบสวนพยานเพิ่มเติมต่อไปนั้น พันโทสัทพงศ์ไม่ติดใจฟังการสอบสวนแต่อย่างใดรายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย จ.18 จึงฟังได้ว่าการที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนจำเลยที่ 1 โดยไม่มีฝ่ายทหารเข้าร่วมในการสอบสวนนั้นก็ได้มีการแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว คดีนี้จึงมีการสอบสวนจำเลยที่ 1โดยชอบแล้ว หาใช่การสอบสวนไม่ชอบและถือว่าไม่มีการสอบสวนตามที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างในฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน