แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเช่าทำนาในที่ดินพิพาทเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปหรือไม่จึงเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทที่การเช่าที่ดินเพื่อการนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคชก.ตำบลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามมาตรา13(2)แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวและการเสนอคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องนี้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นขั้นตอนแล้วตามมาตรา56วรรคหนึ่งและมาตรา57วรรคหนึ่งซึ่งก็มีการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวในกรณีนี้โดยเมื่อคชก.ตำบลวินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปแล้วโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อคชก.จังหวัดซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินทำนาต่อไปและโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดต่อศาลโดยการฟ้องคชก.จังหวัดต่อศาลแล้วแต่ก่อนคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดประการใดโจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ยังไม่เสร็จสิ้นโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้หรือฎีกาขึ้นมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยซื้อฝากมาจากนางมิลิวัลย์ กลิ่นทอง ก่อนหน้านี้จำเลยเช่าที่ดินจากนางมิลิวัลย์และตกลงเลิกการเช่านากันแล้วแต่จำเลยเข้าบุกรุกทำนาและวิดปลาในที่ดินของโจทก์อีกทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์และห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องอีกต่อไป และขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเช่าที่ดินพิพาทจากเจ้าของเดิมเป็นเวลา 40 ปีแล้ว จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 28 และจำเลยไม่ได้ตกลงเลิกการเช่านากับนางมะลิวัลย์ กลิ่นทอง ค่าเสียหายของโจทก์ไม่เกินปีละ10,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างขนย้ายออกไปจากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 40,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท โดยโจทก์ซื้อฝากจากนางมะลิวัลย์ กลิ่นทอง และเมื่อครบกำหนดไถ่ถอนนางมะลิวัลย์ไม่ไถ่ถอน ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์จำเลยเช่าที่ดินพิพาททำนาโดยเช่าอยู่ก่อนที่นางมะลิวัลย์ จะขายฝากแก่โจทก์โจทก์ให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยไม่ยอมออกและได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล (คชก.ตำบล) คลองสี่ คชก.ตำบลคลองสี่วินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปได้ โจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัด(คชก.จังหวัด) ปทุมธานี คชก. จังหวัดปทุมธานีวินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปได้อีกโจทก์ฟ้อง คชก. จังหวัดปทุมธานีต่อศาลจังหวัดปทุมธานี คดีอยู่ระหว่างพิจารณา เห็นว่า กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเช่าทำนาในที่ดินพิพาทคดีนี้เป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปหรือไม่ จึงเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทที่การเช่าที่ดินเพื่อการนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคชก. ตำบลจะเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 13(2) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และการเสนอคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องนี้ พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524 ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ กล่าวคือเมื่อ คชก. ตำบลวินิจฉัยอย่างไรแล้ว ตามมาตรา 56 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า คู่กรณีอาจอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลต่อ คชก. จังหวัดได้ โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อประธานคชก. ตำบลภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบล แต่ต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่ คชก. ตำบลได้มีคำวินิจฉัย และมาตรา 57 วรรคหนึ่งบัญญัติต่อไปว่า คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัด มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัด แต่จะต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่คชก. จังหวัดมีคำวินิจฉัยซึ่งก็ปรากฏว่าได้มีการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวในกรณีนี้ โดยเมื่อ คชก.ตำบลคลองสี่วินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปแล้วโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลคลองสี่ต่อ คชก.จังหวัดปทุมธานี ซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไป และโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดปทุมธานี ต่อศาลโดนการฟ้อง คชก. จังหวัดปทุมธานีต่อศาลจังหวัดปทุมธานีตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 132/2530แต่ก่อนที่การวินิจฉัยคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดประการใดโจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อการดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524 ยังไม่เสร็จสิ้น โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องซึ่งเรื่องอำนาจฟ้องนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้หรือฎีกาขึ้นมาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
พิพากษายกฟ้องโจทก์