แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างมูลเหตุว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่าย ผิดสัญญาเช่าซื้อเช่นเดียวกับคดีก่อน แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องอ้างว่า หลังจากศาลมีคำพิพากษาคดีก่อนแล้ว จำเลยทั้งสองไม่คืนรถแก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ได้ไปยึดรถจากจำเลยทั้งสอง และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการยึดรถคืน ซึ่งความเสียหายของโจทก์ ตามฟ้องคดีนี้เกิดขึ้นภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อน ดังนี้คำขอให้บังคับจำเลยตามฟ้องโจทก์คดีนี้จึงต่างจาก คำขอของโจทก์ในคดีก่อน และมิใช่เป็นประเด็นที่ศาลในคดีก่อน ได้วินิจฉัยแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ทั้งมิใช่กรณี ที่จะไปว่ากล่าวในชั้นบังคับคดี ฟ้องโจทก์คดีนี้จึง ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพใช้การได้ดีถ้าไม่ส่งคืนให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน229,000 บาท และให้ร่วมกันชำระค่าเสียหายให้โจทก์ต่อไปอีกเดือนละ3,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแต่ไม่เกิน 12 เดือน ต่อมาโจทก์ได้ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนในสภาพชำรุดเสียหาย เสียค่าใช้จ่ายในการติดตามเป็นเงิน 4,000 บาท โจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดได้ราคา 191,588.79 บาท ทำให้เสื่อมราคาเป็นเงิน 37,411 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 41,411 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 41,411 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีก่อนโจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์หรือใช้ราคาแทนและให้ใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แต่คดีนี้แม้ฟ้องโจทก์จะอ้างมูลเหตุว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อเช่นเดียวกับคดีก่อน แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องอ้างว่า หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งสองไม่คืนรถแก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ได้ไปยึดรถจากจำเลยทั้งสองต้องเสียค่าใช้จ่ายในการยึดรถไป 4,000 บาท และรถที่ยึดกลับคืนมามีสภาพชำรุดเสียหายโจทก์ได้ขายทอดตลาดไปได้เงินมา191,588.79 บาท รถเสื่อมราคาไป 37,411 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าใช้จ่ายในการยึดรถและค่าเสื่อมราคารวมเป็นเงิน 41,411 บาทพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ ความเสียหายของโจทก์ตามฟ้องคดีนี้เกิดขึ้นภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว คำขอให้บังคับจำเลยทั้งสองตามฟ้องโจทก์คดีนี้จึงต่างจากคำขอของโจทก์ในคดีก่อนและมิใช่เป็นประเด็นที่ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ทั้งมิใช่กรณีที่จะไปว่ากล่าวในชั้นบังคับคดีฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน แต่คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้มีการวินิจฉัยคดีตามลำดับชั้นศาล
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี