แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์ร่วมโดยทำหนังสือสัญญากู้กันไว้และจำเลยที่ 1 ได้นำโฉนดที่ดินที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมมอบให้โจทก์ร่วมยึดถือเป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์ร่วมเพิ่มขึ้นโดยระบุให้เอาโฉนดที่ดินซึ่งจำเลยที่ 1 มอบให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้นั้นเป็นประกันการกู้ครั้งที่สองด้วย การกู้เงินของจำเลยที่ 1 ในครั้งที่สองเป็นการใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมคนละคราวกับการใช้ครั้งแรก จำเลยที่ 1 จึงมีความผิด 2 กระทงครั้งแรกจำเลยที่ 1 ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมด้วยมีความผิดตามป.อ. มาตรา 266(1) และมาตรา 268 วรรค 2 กระทงหนึ่ง ครั้งที่สองจำเลยที่ 1 มิได้ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการขึ้นอีก จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมอย่างเดียวตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรกอีกกระทงหนึ่ง.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,265, 266, 268, 341, 32, 33, 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 40,000บาทแก่ผู้เสียหาย นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1ในคดีหมายเลขดำที่ 1369/2527 และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำที่ 1369/2527 หมายเลขดำที่1371/2527 และหมายเลขแดงที่ 1002/2528 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
นายแปลก วิลัยวรรณ์ ร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (1), 268, 341, 83, 91 แต่จำเลยที่1 เป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารปลอมด้วย ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมตามมาตรา 268 กระทงเดียว และเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา 341 ให้ลงโทษตามมาตรา 268 อันเป็นบทหนักรวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 3 ปี รวมเป็นจำคุก 6 ปีจำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 268, 341, 83 ให้ลงโทษตามมาตรา 268 อันเป็นบทหนักจำคุก 3 ปี จำเลยที่ 3 มีความผิดตามมาตรา 268, 341, 83, 91 ซึ่งเป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบทลงโทษตามมาตรา 268 อันเป็นบทหนักรวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ3 ปี รวมเป็นจำคุก 6 ปี นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1002/2528 ของศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 40,000 บาท จำเลยที่ 2เป็นเงิน 20,000 บาท ริบของกลางคำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ใช้เอกสารปลอมครั้งแรกเพียงครั้งเดียวจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม 1 กระทง ส่วนครั้งหลังมีความผิดฐานฉ้อโกงอีก 1กระทง ส่วนจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ไม่มีความผิดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดกระทงที่สองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 จำคุก 1 ปี 6 เดือน รวมเป็นโทษจำคุกจำเลยที่ 1ทั้งสิ้น 4 ปี 6 เดือน ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…ปัญหาแรกตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยที่ 1 จะมีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมรวม 2 กระทงหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าครั้งแรกจำเลยที่ 1 ได้นำโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 ไปอ้างต่อโจทก์ร่วมว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงเพื่อขอกู้เงินจากโจทก์ร่วมเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2527 ต่อมาเมื่อวันที่ 11กันยายน 2527 จำเลยที่ 1 ได้ติดต่อขอกู้เงินเพิ่มจากโจทก์ร่วมอีก 20,000 บาท และได้ทำหนังสือสัญญากู้กันไว้ตามเอกสารหมายจ.3 ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 มาขอกู้เงินจากโจทก์ร่วมครั้งที่สองนี้โจทก์ร่วมเบิกความว่าจำเลยที่ 1 ได้พูดขอให้เอาโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นประกันเงินกู้ฉบับนี้ด้วย และตามหนังสือสัญญากู้ครั้งที่สองตามเอกสารหมาย จ.3ข้อ 2 จำเลยที่ 1 ได้ระบุข้อความไว้ว่า ‘เพื่อเป็นหลักฐานในเงินซึ่งข้าพเจ้าได้กู้ไปนี้ ข้าพเจ้าได้นำโฉนดที่ดินเลขที่ 5671 เลขที่ดิน 107 หน้าสำรวจ 774 ตำบลหาดอาสา อำเภอสรรพยาจังหวัดชัยนาท ให้ท่านยึดถือไว้เป็นประกันด้วย และข้าพเจ้าขอรับรองว่าทรัพย์สินที่ข้าพเจ้านำมานี้เป็นของข้าพเจ้าโดยแท้จริง และไม่มีภาระติดพันในหนี้รายอื่นเลย’ เช่นนี้แสดงว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์ขอกู้เงินจากโจทก์ร่วมโดยมีเจตนาใช้เอกสารหมาย จ.1 เป็นหลักฐานและเป็นหลักประกันที่แน่นอน เพื่อที่โจทก์ร่วมจะได้มีความมั่นใจและยินยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงินเพิ่มอีกได้ แม้ขณะนั้นเอกสารหมาย จ.1ยังคงอยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วมก็ตาม แต่การที่โจทก์ร่วมยินยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงินเพิ่มก็เพราะเชื่อถือในเอกสารฉบับนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการใช้เอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมคนละคราวกับการใช้ครั้งแรก อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยที่ 1 จึงมีความผิด 2 กระทง กล่าวคือในการใช้ครั้งแรก จำเลยที่ 1 ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมด้วย จึงมีความผิดตามมาตรา 266 (1) และ 268 วรรค 2 กระทงหนึ่ง แต่ในการใช้ครั้งที่สอง จำเลยที่ 1 มิได้ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการขึ้นอีก คงใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการอันเก่านั่นเอง จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมอย่างเดียวตามมาตรา 268 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดในข้อหานี้เพียง1 กระทง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต่อไปตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดดังโจทก์ฟ้องหรือไม่ สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ขณะที่จำเลยที่ 1 ไปขอกู้เงินจากโจทก์ร่วมที่บ้านของโจทก์ร่วมในวันที่ 30 สิงหาคม 2527 จำเลยที่ 2 มิได้ไปด้วย โจทก์ร่วมเบิกความว่า เมื่อนำเอกสารหมาย จ.1 มาให้นายเปรม ชูควร พนักงานที่ดินอำเภอเมืองชัยนาท ตรวจสอบ และได้รับแจ้งว่าเป็นเอกสารแท้จริงแล้ว นายเปรมได้พิมพ์หนังสือสัญญากู้เงินตามเอกสารหมายจ.2 ให้โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นผู้ให้กู้และผู้กู้ ขณะที่โจทก์ร่วมไปซื้ออากรแสตมป์จำเลยที่ 2 ได้มาลงชื่อเป็นพยานโจทก์ร่วมได้สอบถามแล้ว นายเปรมว่าไม่เป็นไรเพียงเป็นพยานเท่านั้น ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารปลอมหรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จเพื่อฉ้อโกงโจทก์ร่วมที่โจทก์ฎีกาว่านายชวน ขวัญบุญพยานโจทก์เบิกความว่าจำเลยที่ 2 เคยพาจำเลยที่ 1 โดยนำโฉนดที่ดินปลอมมาขอกู้เงินจากนายชวน แสดงว่าจำเลยที่ 2รู้ว่าเอกสารหมาย จ.1 เป็นเอกสารปลอมและมีการวางแผนการกันมาก่อนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการกระทำต่างรายกัน ไม่อาจนำมาประกอบการวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดคดีนี้พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมยังไม่เพียงพอที่จะรับฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดดังโจทก์ฟ้อง ฎีกาของโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น สำหรับจำเลยที่ 3 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากโจทก์ร่วมว่าในวันที่ 30 สิงหาคม 2527 จำเลยที่ 3ได้พาจำเลยที่ 1 มาขอกู้เงินจากโจทก์ร่วมครั้งแรกโจทก์ร่วมไม่ยอมให้กู้ จำเลยที่ 3 ได้พูดขอร้องโดยอ้างเหตุความเดือดร้อนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 นำเอกสารหมายจ.1 มาให้ดู โดยจำเลยที่ 3 รับรองกับโจทก์ร่วมว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง การที่จำเลยที่ 3 พาจำเลยที่ 1 ไปขอกู้เงินจากโจทก์ร่วมพร้อมกับอ้อนวอนโดยยกความเดือดร้อนของจำเลยที่ 1 ขึ้นอ้างและรับรองว่าเอกสารหมาย จ.1 เป็นเอกสารที่แท้จริง แสดงว่าจำเลยที่ 3 มีความสนิทสนมกับจำเลยที่ 1 มากจำเลยที่ 3 จึงอยู่ในฐานะที่จะรู้ถึงทรัพย์สินที่เป็นที่ดินของจำเลยที่ 1 ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ทั้งต่อมาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2527 จำเลยที่ 3 ยังพาจำเลยที่ 1 ไปขอกู้เงินจากโจทก์ร่วมอีก โดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้ติดต่อขอร้องต่อโจทก์ร่วมถึง 4 ครั้ง เมื่อโจทก์ร่วมบอกว่าไม่มีเงิน จำเลยที่ 3 ยังคงใช้ความพยายามโดยแนะนำให้โจทก์ร่วมไปหาเงินมาจากบุคคลอื่น ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 3 เบิกความว่าก่อนเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 3 ไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 1 มาก่อน แต่มารู้จักเมื่อนายจงและนางทิ้งพามาพบ แล้วจำเลยที่ 3พาจำเลยที่ 1 ไปขอกู้เงินจากโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงินครั้งที่สอง จำเลยที่ 3 ก็ได้นำบุตรชายของตนไปเพื่อเขียนหนังสือสัญญากู้ทันที พฤติการณ์ที่แสดงถึงความเอาใจใส่ ความพยายามที่จะให้โจทก์ร่วมยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงิน ทั้ง ๆ ที่เพิ่งรู้จักกับจำเลยที่ 1 เช่นนี้เป็นเรื่องที่ผิดปกติและขัดต่อเหตุผลมาก พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนักและเหตุผลให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม และฉ้อโกงอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น พยานหลักฐานของจำเลยที่ 3 ไม่มีน้ำหนักและเหตุผลหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 3 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 266 (1), มาตรา 268 วรรคสอง และมาตรา 341 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 266 (1) อันเป็นบทหนัก กระทงหนึ่งและมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก และมาตรา341 เป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 266 (1)อันเป็นบทหนักอีกกระทงหนึ่ง รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 3 ปีรวมเป็นจำคุก 6 ปี จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก และมาตรา 341 เป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 266 (1) อันเป็นบทหนัก รวม 2 กระทงจำคุกกระทงละ 3 ปี รวมเป็นจำคุก 6 ปี ให้จำเลยที่ 3 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 40,000 บาท ร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์’.