คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2395/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนที่จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ทราบคำบังคับและหมายบังคับคดีได้ออกโดยชอบแล้ว เมื่อจำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย หน้าที่และความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่จะต้องชำระหนี้ที่เหลือตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ย่อมเป็นกองมรดกตกทอดแก่ทายาท แต่มิใช่ทายาทจะต้องรับผิดเป็นส่วนตัว จึงไม่มีเหตุที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องขอออกคำบังคับหรือหมายบังคับแก่ทายาทอีก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 2,039,277.62 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยกับค่าฤชาธรรมเนียมโดยจำเลยทั้งสองตกลงผ่อนชำระ เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2544 เป็นต้นไป หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยินยอมให้ยึดที่ดินซึ่งจำนองโฉนดเลขที่ 21958, 21959, 21960 ตำบลบุคคโล (บางยี่เรือ) อำเภอธนบุรี (บางกอกใหญ่) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบ จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินซึ่งจำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่พอชำระแก่โจทก์ ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5205 และ 5206 ตำบลบุคคโล (บางไส้ไก่) อำเภอธนบุรี (บางกอกใหญ่) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างไม่มีเลขที่ ซึ่งปลูกคร่อมบนที่ดินดังกล่าวและที่ดินโฉนดเลขที่ 5207 ตำบลบุคคโล (บางไส้ไก่) อำเภอธนบุรี (บางกอกใหญ่) กรุงเทพมหานคร ตามคำขอของโจทก์ มีชื่อนายบุญส่ง เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และประเมินราคาไว้รวม 6,309,000 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการยึดที่ดินทั้งสามแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ผู้ร้องบรรยายคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5205 และ 5206 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเพิ่มเติมหลังจากที่ยึดและขายทอดตลาดที่ดินซึ่งจำนองตามคำพิพากษาโฉนดเลขที่ 21958, 21959, 21960 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง แล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ มิใช่ร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 21958, 21959, 21960 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตามที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษามา จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไปโดยผิดหลงอันเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น เพื่อมิให้คดีล่าช้า ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องไปเสียทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวน คดีนี้ผู้ร้องบรรยายคำร้องว่า การยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5205 และ 5206 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ชอบ แต่คำขอท้ายคำร้องกลับขอให้เพิกถอนการยึดที่ดิน 3 แปลง ซึ่งปรากฏตามสำเนารายงานการยึดอสังหาริมทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ผู้ร้องแนบมาท้ายคำร้องอันเป็นส่วนหนึ่งของคำร้องว่า ที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ในคราวเดียวกันมีทั้งหมดสามแปลงและเลขที่โฉนดที่ดินเรียงลำดับกัน คือ เลขที่ 5205 และ 5206 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และที่ดินโฉนดเลขที่ 5207 เห็นได้ชัดว่า เป็นเรื่องที่ผู้ร้องอ้างอิงที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ในคำร้องไม่ครบถ้วนถูกต้อง พอแปลได้ว่า ผู้ร้องประสงค์ขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินทั้งสามแปลงตามสำเนารายงานการยึดอสังหาริมทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดี ปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า คดีมีเหตุให้เพิกถอนการยึดที่ดินทั้งสามแปลงตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่า ก่อนจำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ทราบคำบังคับและหมายบังคับคดีได้ออกโดยชอบแล้ว เมื่อจำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย หน้าที่และความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่จะต้องชำระหนี้ที่เหลือตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ย่อมเป็นกองมรดกตกทอดแก่ทายาท แต่มิใช่ว่าทายาทจะต้องรับผิดเป็นส่วนตัว จึงไม่มีเหตุที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องขอออกคำบังคับหรือหมายบังคับแก่ทายาท คดีไม่มีเหตุให้เพิกถอนการยึดที่ดินทั้งสามแปลงตามคำร้องของผู้ร้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกคำร้องของผู้ร้องตามคำสั่งศาลชั้นต้นชอบด้วยในผล ฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องโดยมิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งแก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรมีคำสั่งให้ถูกต้องด้วย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share