คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2394/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญาที่ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยได้เบิกความเท็จในคดีแพ่ง นั้นแม้ศาลที่พิจารณาพิพากษาคดีแพ่งจะไม่เชื่อข้อเท็จจริงที่พยานจำเลยนำสืบและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีและคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม ก็จะนำเอาผลของคำพิพากษานั้นมาฟังว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จหาได้ไม่เพราะประเด็นในการวินิจฉัยในคดีแพ่งกับปัญหาวินิจฉัยในคดีอาญาแตกต่างกันคำพิพากษาในคดีแพ่งก็มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีแพ่งเท่านั้น ไม่ใช่เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปหรือไม่อาจโต้แย้งได้ เพราะมิฉะนั้นคู่ความหรือพยานฝ่ายที่แพ้คดีก็จะต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จเสมอไปเมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จ โจทก์ก็มีหน้าที่ต้อง พิสูจน์ให้ได้ความว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่เบิกความเท็จในคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1ที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันข้อความอันเป็นเท็จมีใจความว่า โจทก์ตัดกระดาษโดยรอบสัญญากู้ทำให้คำว่า “ผู้กู้” “พยาน” ขาดหายไป แล้วพิมพ์ข้อความใหม่ว่า “ผู้คำประกัน” แทน “พยาน” ทำให้จำเลยที่ 2 ซึ่งลงลายมือชื่อไว้ในฐานะพยานกลายเป็นผู้ค้ำประกันข้อความเท็จดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 83

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า แม้คำเบิกความของจำเลยจะเป็นเท็จก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีฟังไม่ได้ว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จพิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 226/2524ของศาลแขวงพระนครเหนือซึ่งถึงที่สุดแล้ว โดยโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปและไม่อาจโต้แย้งได้ โจทก์จึงไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกนั้น เห็นว่าในคดีแพ่งดังกล่าวข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันตามสัญญาฉบับลงวันที่ 30 สิงหาคม 2522 ซึ่งจำเลยที่ 1, ที่ 2 ต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2 ลงชื่อในฐานะพยาน โดยมีจำเลยที่ 3, ที่ 4 เบิกความเป็นพยานฝ่ายจำเลยด้วยนั้น แม้ศาลแขวงพระนครเหนือจะไม่เชื่อข้อเท็จจริงตามที่พยานจำเลยนำสืบและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนี้ตามฟ้องและคดีถึงที่สุดก็ตาม ก็จะนำเอาผลของคำพิพากษานั้นมาว่าฟังคำเบิกความของจำเลยทั้งสี่เป็นเท็จหาได้ไม่ เพราะประเด็นในการวินิจฉัยในคดีแพ่งดังกล่าวกับปัญหาวินิจฉัยในคดีนี้แตกต่างกันทั้งคำพิพากษาในคดีแพ่งก็มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีแพ่งที่จะต้องปฏิบัติตามเท่านั้นหาใช่เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป หรือไม่อาจโต้แย้งได้ตามที่โจทก์ฎีกาไม่เพราะมิฉะนั้นคู่ความหรือพยานฝ่ายที่แพ้คดีก็ต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จเสมอไป เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้กล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จ โจทก์มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้ได้ความว่าคำเบิกความของจำเลยเหล่านี้เป็นเท็จ เช่นมีผู้พิมพ์สัญญากู้หรือผู้รู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งร่วมกับโจทก์ในขณะนั้นมาเบิกความสนับสนุนให้เห็นว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จแต่ในการไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายความจำเลยว่า ใครจะเป็นผู้พิมพ์สัญญากู้ฉบับที่สอง(ฉบับพิพาท) ไม่ทราบ และในวันทำสัญญากู้จำเลยที่ 3, ที่ 4 จะอยู่ที่ทำงานหรือไม่ไม่ทราบ พยานอื่น ๆ นอกจากนี้ก็ไม่มี ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีแต่ตัวเองเบิกความเป็นพยาน ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนให้เห็นว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จและพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

พิพากษายืน

Share