แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อวันที่16 ธันวาคม 2531 ความว่า โจทก์ยอมให้ที่ดินที่เป็นเกาะมีบ้านจำเลยปลูกอยู่เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ในโฉนดเลขที่ 1924 เป็นของจำเลย และจะไปขอแบ่งแยกให้ ทั้งสองฝ่ายจะไปยื่นขอแบ่งแยกภายในเดือนมกราคม 2514 แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้บังคับคดีเมื่อวันที่17 ตุลาคม 2533 เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา จึงหมดสิทธิบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271แม้กรณีเป็นดังที่จำเลยอ้างว่าเป็นเรื่องการแบ่งทรัพย์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทั้งโจทก์เป็นฝ่ายเพิกเฉยไม่ไปขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินแล้วกลับมาฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีใหม่ และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทด้วยการครอบครองปรปักษ์แล้วก็ตาม ก็หามีบทกฎหมายใดบัญญัติให้มีการขอบังคับคดีเกินกว่าสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาได้ไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2531 ความว่า โจทก์ยอมให้ที่ดินที่เป็นเกาะมีบ้านจำเลยทั้งสามปลูกอยู่เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ในโฉนดเลขที่1924 เป็นของจำเลยที่ 2 และจะไปขอแบ่งแยกให้ ทั้งสองฝ่ายจะไปยื่นขอแบ่งแยกภายในเดือนมกราคม 2514 ต่อมาวันที่ 17 ตุลาคม 2533จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับคดี ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ 2ยื่นคำร้องขอให้บังคับคดีเกินกว่าสิบปีนับแต่ศาลพิพากษา จึงหมดสิทธิบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาความว่า กรณีเป็นเรื่องการแบ่งทรัพย์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทั้งโจทก์เป็นฝ่ายเพิกเฉยไม่ไปขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าติดจำนองกับธนาคารแล้วกลับมาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่ และจำเลยที่ 2 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทด้วยการครอบครองปรปักษ์แล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่จำต้องร้องขอให้บังคับคดีภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา แม้กรณีจะเป็นดังเช่นจำเลยที่ 2 ยกขึ้นฎีกาก็หามีบทกฎหมายใดบัญญัติให้มีการขอให้บังคับคดีเกินกว่าสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน