คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2392/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 43 ให้อำนาจโจทก์ขอเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนต่อเมื่อผู้เสียหายได้สูญเสียทรัพย์สินหรือราคาเพราะเหตุเกิดจากการฉ้อโกงนั้นแล้วเท่านั้น ส่วนการที่ผู้เสียหายถูกฉ้อโกงหลอกลวงให้นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองค้ำประกันหนี้เงินกู้ของจำเลย โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้สูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนเงินตามที่โจทก์ขอเรียกคืน โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเรียกให้จำเลยใช้เงินจำนวนนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยทุจริตหลอกลวงนายนิล ปิณกาจน์ผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินจากผู้มีชื่อ 45,000 บาท ขอให้ผู้เสียหายจำนองที่ดินของผู้เสียหายเป็นประกันหนี้ดังกล่าว และจำเลยจะผ่อนชำระหนี้เงินกู้ให้แก่ผู้มีชื่อ โดยมิให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายอันเป็นความเท็จความจริงจำเลยทำสัญญากู้เงินจากผู้มีชื่อ จำนวน 450,000 บาทและไม่มีเจตนาจะผ่อนชำระหนี้เงินกู้คืน โดยการหลอกลวงของจำเลยและอาศัยความอ่อนแห่งจิตของผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายทำเอกสารสัญญาจำนองอันเป็นเอกสารสิทธิและจำเลยได้ทรัพย์สินจำนวน 450,000 บาทไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 342ให้จำเลยคืนเงิน 450,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 342 จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี ส่วนเงินจำนวน 450,000 บาท จึงมิใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินจำนวนนี้แทนผู้เสียหายกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 จึงให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยชำระเงินแก่ผู้เสียหาย
โจทก์อุทธรณ์ขอให้มีคำสั่งให้จำเลยคืนเงิน 450,000 บาทแก่ผู้เสียหาย
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกง กฎหมายให้อำนาจโจทก์ขอเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนก็ต่อเมื่อผู้เสียหายได้สูญเสียทรัพย์สินหรือราคาเพราะเหตุเกิดจากการฉ้อโกงนั้นแล้ว แต่ข้อเท็จจริงตามคดีเพียงแต่ได้ความว่า ผู้เสียหายถูกหลอกลวงแล้วนำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองอันเป็นการค้ำประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยเท่านั้นไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้สูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนเงินตามที่โจทก์ขอเรียกคืน โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเรียกให้จำเลยใช้เงินจำนวนนี้ ศาลล่างทั้งสองยกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share