แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้อง รับผิดใช้ ค่าเสียหายแก่โจทก์แม้โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าได้ รับความเสียหายตาม จำนวนที่ฟ้อง ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าเสียหายได้ตาม สมควร โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับเงิน 600,000 บาทและจดทะเบียนไถ่ถอนขายฝากที่ดินแก่โจทก์ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยรับการไถ่ถอนการขายฝากจากโจทก์ในจำนวนเงิน 600,000 บาท โดย กำหนดให้โจทก์วางเงินสินไถ่จำนวนดังกล่าวต่อ ศาลภายใน 30 วันหาได้ไม่เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาขายฝากที่ดินรวม 3 โฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยเป็นเงิน 600,000 บาท มีกำหนด 1 ปี ต่อมาโจทก์ทำสัญญาจะขายที่ดินทั้งสามแปลงแก่ผู้มีชื่อ นัดโอนในวันที่ 5สิงหาคม 2526 หากโอนไม่ได้โจทก์จะต้องใช้ค่าเสียหาย โจทก์นัดให้จำเลยไปจดทะเบียนไถ่ที่ดินคืนในวันที่ 5 สิงหาคม 2526 แต่จำเลยไม่ไปตามนัด ทำให้โจทก์เสียค่าปรับเป็นเงิน 400,000 บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับเงิน 600,000 บาท และจดทะเบียนไถ่ถอนขายฝากที่ดินทั้งสามแปลงแก่โจทก์ โดยหักค่าเสียหายให้โจทก์ 400,000 บาท คงรับจริงเป็นเงิน 200,000 บาท
จำเลยให้การว่า ได้รับซื้อฝากไว้จริง โจทก์เคยแจ้งว่าจะไถ่ที่ดินคืนในวันที่ 5 สิงหาคม 2526 จำเลยได้ไปคอยอยู่ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา แต่โจทก์ไม่ไปตามกำหนดนัด โจทก์มิได้เสียค่าปรับ 400,000 บาท ตามฟ้อง ถ้าเสียจริงไม่เกิน10,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับการไถ่ถอนการขายฝากจากโจทก์ในจำนวนเงิน 600,000 บาท เคยให้โจทก์นำเงินมาวางศาลภายใน 30 วันมิฉะนั้นถือว่าโจทก์สละสิทธิ์การไถ่ และให้จำเลยไปจดทะเบียนการขายฝากให้โจทก์หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรับการไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทจากโจทก์ในจำนวนเงิน 600,000 บาท โดยโจทก์ไม่ต้องนำเงินมาวางศาล ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 30,000บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นางสาวประเดิม เพชรสูงเนินยื่นคำร้องว่า เป็นบุตรของโจทก์ โจทก์ถึงแก่กรรม ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ยอมให้โจทก์ไถ่การขายฝาก ข้อต้องพิจารณาตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยจะต้องใช้ค่าเสียหาย 30,000 บาท แก่โจทก์หรือไม่เห็นว่า เมื่อจำเลยผิดสัญญา แม้โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจะเสียหายจริงถึง 400,000 บาท ตามฟ้อง จำเลยยังต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ การที่จำเลยอ้างในฎีกาว่าโจทก์กับนางสุรีย์วางแผนกันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ต่อสู้คดีและสืบให้เห็นว่าโจทก์กับนางสุรีย์สมคบกันหลอกลวงจำเลย อันจะทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิด เมื่อคดีฟังว่าจำเลยผิดสัญญา จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์โดยศาลมีอำนาจที่จะกำหนดค่าเสียหายได้ตามสมควร ซึ่งศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยรับผิด 30,000 บาท นับว่าเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาของจำเลยที่จะให้โจทก์วางเงินสินไถ่การขายฝาก600,000 บาท ต่อศาลภายในกำหนด 30 วัน นั้น ศาลชั้นต้นได้พิพากษากำหนดเวลาให้โจทก์วางเงิน ศาลอุทธรณ์เห็นวส่าเกิดคำขอ โจทก์ไม่ต้องวางเงินค่าไถ่ภายใน 30 วัน ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า คู่ความมิได้ขอให้ศาลพิพากษาเช่นนั้น เป็นความประสงค์ของจำเลยที่เกินคำขอ และกรณีเช่นนี้เป็นเรื่องที่คู่ความจะต้องปกิบัติในชั้นบังคับคดี เมื่อโจทก์ต้องการที่ดินที่ต้องชำระเงินให้จำเลยเพื่อไถ่การขายฝาก จึงไม่จำเป็นที่จะต้องสั่งให้โจทก์วางเงินสินไถ่ภายใน 30 วัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.