คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา343ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา352วรรคหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสามจำเลยอุทธรณ์ส่วนโจทก์ไม่อุทธรณ์ฉะนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายและประชาชนด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือไม่จึงยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและปรับบทลงโทษจำเลยว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยโดยทุจริตหลอกลวงประชาชนที่มาทำพิธีทางศาสนาที่มัสยิด บ้านพระพุทธว่าจำเลยจะดำเนินการขอจดทะเบียนเรือและขออาชญาบัตรอวนให้แก่ประชาชนดังกล่าวอันเป็นเท็จซึ่งความจริงจำเลยมิได้มีเจตนาจะดำเนินการขอจดทะเบียนเรือและอาชญาบัตรอวนดังกล่าวให้แก่ประชาชนจนประชาชนที่มาทำพิธีทางศาสนาดังกล่าวหลงเชื่อว่าเป็นความจริงในการหลอกลวงดังว่านั้นจำเลยได้รับเงินไปจากประชาชนที่ถูกจำเลยหลอกลวงรวมเป็นเงิน21,890บาทขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา343และให้จำเลยคืนเงินจำนวน21,890บาทแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา352วรรคหนึ่งจำคุก3ปีให้จำเลยคืนเงินจำนวน21,890บาทแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา343วรรคแรกนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นสั่งรับว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่พิเคราะห์แล้วโจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอให้ศาลลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา343ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นเพียงผิดคำมั่นว่าจะทำอะไรแล้วไม่ทำไม่เป็นการหลอกลวงผู้เสียหายและประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงแต่การที่จำเลยรับเงินของผู้เสียหายทั้งสามสิบสี่รายไว้ในครอบครองแล้วไม่นำไปดำเนินการตามที่ผู้เสียหายดังกล่าวมอบหมายและไม่คืนเงินให้เป็นการเบียดบังทรัพย์สินของผู้เสียหายโดยมีเจตนาทุจริตเป็นความผิดฐานยักยอกศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสามพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา352วรรคหนึ่งจำคุก3ปีโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานยักยอกดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายและประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นปัญหาในชั้นอุทธรณ์จึงมีตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานยักยอกหรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค3วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนและการหลอกลวงดังกล่าวทำให้จำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินจำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามฟ้องและพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา343วรรคแรกโดยให้ลงโทษจำคุก3ปีตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นการวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงในข้อที่โจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค3วินิจฉัยข้อเท็จจริงและปรับบทลงโทษจำเลยว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดีคดีนี้จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานยักยอกซึ่งศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยศาลฎีกาจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค3พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243และ247ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค3ให้ศาลอุทธรณ์ภาค3พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share