คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยเป็นผู้นำเอารถจักรยานของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปฝากบุคคลอื่นไว้ให้ช่วยขายให้ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดนั้น จำเลยย่อมมีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองบังอาจลักหรือรับเอารถจักรยาน๒ ล้อ ๒ คัน ราคา ๒,๔๐๐ บาทของนายจรัส กลมประโคน ไว้โดยทุจริตขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๓๕๗, ๘๓และนับโทษจำเลยที่ ๑ ต่อจากคดีแดงที่ ๑๗๑๘/๒๕๐๙ ของศาลชั้นต้นด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนดคนละ ๒ ปีนับโทษจำเลยที่ ๑ ต่อจากคดีแดงที่ ๑๗๑๘/๒๕๐๙ ของศาลชั้นต้นส่วนข้อหาฐานลักทรัพย์ให้ยกเสีย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะมีพยานแต่เพียงผู้เดียวที่รู้เห็นว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนนำเอารถจักรยานของผู้เสียหายไปฝากนายบัวไว้ให้ช่วยขายให้ แต่คำเบิกความของนายบัวผู้นี้ก็น่าเชื่อถือ เพราะมีคำเบิกความของนายอุทิศ กำนันมาสนับสนุนว่าที่นายอุทิศจะได้รถจักรยานทั้ง ๒ คันของผู้เสียหายคืนมา ก็เพราะนายบัวนั้นเองเป็นผู้บอกให้ อันแสดงถึงความบริสุทธิ์ของนายบัว มิใช่เป็นเรื่องที่นายบัวจวนตัว เพราะเขาจับของกลางได้ที่เรือนตนแล้วจึงซัดปัดความผิดไปให้ผู้อื่นนอกจากนั้นแล้วยังได้ความว่านายบัวนี้ผู้นี้เป็นผู้ที่รู้จักมักคุ้นกับจำเลยทั้งสอง และชอบพอกันดีอยู่ จึงไม่น่าเชื่อว่านายบัวจะแกล้งเบิกความเพื่อปรักปรำจำเลย ศาลฎีกาจึงเชื่อว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้นำเอารถจักรยานของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปฝากนายบัวไว้ให้ช่วยขายให้ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิด จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น.

Share