แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พฤติการณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยตามที่ปรากฏในคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาท มิใช่เรื่องเช่าทรัพย์สิน แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าโจทก์เช่านาจากจำเลย ก็ไม่มีผลเป็นการเช่าที่พิพาท เมื่อโจทก์มิใช่ผู้เช่าที่ดินพิพาท จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53,54 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2522 โจทก์ได้เช่าที่นาเนื้อที่ 18 ไร่ จากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ จำเลยที่ 1 คิดค่าเช่าจากโจทก์เพียง 4 ไร่ ส่วนอีก 14 ไร่ จำเลยที่ 1ให้โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 โดยผ่อนชำระกับธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขากำแพงแสน ซึ่งจำเลยที่ 1 จำนองที่ดินดังกล่าวไว้ โจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาทุกประการ ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2525 จำเลยที่ 1ได้โอนขายที่ดินส่วนที่โจทก์เช่าทำนาอยู่ 18 ไร่ ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยที่จำเลยทั้งสองมิได้แจ้งให้ประธานกรรมการตำบลกับโจทก์ผู้เช่านาทราบ จึงเป็นการซื้อขายที่ไม่ชอบ โจทก์มีสิทธิที่จะซื้อนาคืนจากจำเลยที่ 2 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 24,884.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 18ต่อปีของต้นเงิน 21,088.94 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 2 ขายที่ดินทางทิศใต้จำนวน 14 ไร่ของโฉนดที่ดินเลขที่ 11316 ตำบลบัวปากท่า อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐมในราคา 28,911 บาท แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตาม ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองโจทก์ไม่ยอมชำระดอกเบี้ยและเงินต้นให้แก่ธนาคารแทนจำเลยที่ 1ตามที่ตกลง เป็นการผิดนัดกับทางธนาคาร ย่อมถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะซื้อที่ดินนาจากจำเลยที่ 1 อีก โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะซื้อที่ดินที่เช่าจากจำเลยที่ 1 ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะขายที่ดินจำเลยที่ 1 ได้บอกให้โจทก์ทราบแล้ว แต่โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะซื้อที่ดินที่เช่าจากจำเลยที่ 1 ต่อไป จำเลยที่ 1 ขายที่ดินดังกล่าวไม่เป็นความจำนองจะซื้อที่นาจากจำเลยที่ 1 แต่ไม่ยอมชำระเงินภายในกำหนดเวลาที่ตกลงกับจำเลยที่ 1 ไว้ จึงถือว่าโจทก์หมดสิทธิที่จะซื้อที่ดินที่เช่าจากจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องโจทก์ประกอบกับเอกสารท้ายฟ้องมีใจความสำคัญว่าจำเลยที่ 1 คิดค่าเช่าจากโจทก์เพียง 4 ไร่ ส่วนอีก 14 ไร่ จำเลยที่ 1 ให้โจทก์ชำระหนี้แทนโดยผ่อนชำระกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขากำแพงแสน เมื่อโจทก์ชำระเงินครบ50,000 บาท แล้ว จำเลยที่ 1 จะโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์อันเป็นลักษณะโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกันตามคำฟ้องโจทก์และเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าว ไม่ได้กล่าวถึงการได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด ทั้งไม่ได้กำหนดราคาค่าเช่ากันแต่อย่างใด อันจะฟังว่าเป็นการเช่าที่ดินพิพาทแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องในตอนแรกว่าโจทก์เช่าที่ดินทำนาจากจำเลยที่ 1 ทั้ง 18 ไร่ ก็ไม่เป็นผลทำให้ที่ดินพิพาท 14 ไร่ เป็นการเช่าไปได้ พฤติการณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามที่ปรากฎในคำฟ้องเป็นเรื่องตกลงจะซื้อขายที่ดินพิพาทจำนวน 14 ไร่ กันมากกว่าหาได้มีเจตนาเช่าที่ดินพิพาทกันไม่ โจทก์มิใช่ผู้เช่าที่ดินตามฟ้องจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53, 54 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วยในผลฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.