แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกันมานานถึง 2 ปีเศษแล้วแต่ปรากฎว่าภรรยาและบุตรผู้ขายยังคงอยู่และทำกินในดินที่ทำสัญญาซื้อขายตลอดมา โดยผู้ซื้อมิได้เกี่ยวข้องทำอะไรในที่ดิน และยังปรากฎว่าบุตรเขยผู้ขายได้ปลูกเรือนอยู่ในที่ดินที่ทำสัญญาซื้อขาย พฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นเครื่องแสดงให้เห็นได้ว่าการทำสัญญาซื้อขายเป็นการแสดงเจตนาลวง มิใช่มีเจตนาซื้อขายต่อกันจริงจัง
ย่อยาว
เรื่อง ขอให้แสดงว่านิติกรรมเป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องว่า นานสวัสดิ์ กลั่นหีด ถูกจำเลยที่ ๑ ฆ่าตาย พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ กับพวกหาว่าฆ่าคนตายโดยเจตนา ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑๐ ปี ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๐๗/๙๖ ของศาลจังหวัดไชยา ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ เรียกค่าเลี้ยงดู ด.ญ.สมโภชซึ่งเป็นบุตรของนายสวัสดิ์ผู้ตาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ เสียค่าเลี้ยงดูให้แก่ ด.ญ.สมโภขเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทกับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายปรากฎตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๕/๙๗ ของศาลจังหวัดไชยา คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาเมื่อเดือนม.ค. ๙๘ โจทก์ดำเนินการเพื่อยึดที่ดินของจำเลยที่ ๑ ซึ่งมี ๓ แปลงในตำบลป่าเว อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงได้ทราบว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาโอนขายที่ดินทั้ง ๓ แปลงให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นน้องภรรยาเป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาท ซึ่งคู่กรณีไม่มีเจตนาซื้อขายกันจริง แต่เป็นการแสดงเจตนาลวงโจทก์ สมยอมกันทำเป็นว่าซื้อขายแต่หาได้ซื้อขายกันจริงไม่ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ที่ดินของจำเลยที่ ๑ ถูกยึดมาชำระหนี้โจทก์ เพราะจำเลยที่ ๑ ไม่มีทรัพย์สินอย่างอื่นอีก อนึ่ง ราคาที่ะระบุในสัญญาซื้อขายก็ถูกกว่าราคาจริงมาก นิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยเป็นโมฆะ ให้ถอนชื่อจำเลยที่ ๒ ออกจากการเป็นเจ้าของ และแสดงว่าจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของดังเดิม
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าไม่ได้สมยอมกับจำเลยที่ ๒ ซื้อขายที่ดินดังโจทก์ฟ้องขายกันในราคาพอสมควรกับที่ดินและขายเพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายในการสู้คดีที่จำเลยที่ ๑ ถูกหาว่าฆ่านายสวัสดิ์ตาย ทั้งเพื่อชำระหนี้ผู้อื่นซึ่งมีอยู่บ้างแล้วก่อนขายที่ดินและเพื่อเอาเงินใช้สอยเลี้ยงตัวและครอบครัวจำเลย
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินตามโจทก์ฟ้องกับจำเลยที่ ๑ โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนอันสมควรราคา ไม่ได้สมยอมกัน อนึ่งในเวลาที่จำเลยที่ ๑ ทำนิติกรรมขายที่ดินให้โจทก์ที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นลูกหนี้โจทก์เกี่ยวกับถูกพนักงานอัยการฟ้อง และเวลานั้นศาลก็ยังไม่ได้พิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ยังได้ได้ชื่อว่าเป็นลูกหนี้ โจทก์เกี่ยวกับที่ถูกพนักงานอัยการฟ้อง และเวลานั้นศาลก็ยังไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ฆ่านายสวัสดิ์ จำเลยที่ ๒ ชอบที่จะซื้อที่ดินจากจำเลยที่ ๑ ได้ ทั้งจำเลยที่ ๑ ก็แจ้งว่าประสงค์จะเอาเงินไปช่วยทุกข์ในคดีอาญาที่ถูกพนักงานอัยการฟ้องหาว่าฆ่านายสวัสดิ์ตาย เพื่อตอบแทนแก่ทนายความบ้าง ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็นบ้าง
ชั้นพิจารณา จำเลยที่ ๑ ขาดนัดพิจารณา
ศาลจังหวัดไขยาพิจารณาแล้เห็นว่าข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าการซื้อขายที่ดินทั้ง ๓ แปลงระหว่างจำเลยเป็นการแสดงเจตนาลวงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยเสีย ให้ถือว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ดังเดิม ให้จำเลยทั้งสองเสียค่าธรรมเนียม ๒ ศาลกับค่าทนาย ๔๐๐ บาทแทนโจทก์ แต่มีผู้พิพากษานายหนึ่งที่พิจารณาคดีนี้ทำความเห็นแย้งว่า ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าการซื้อขายที่ดิน ๓ แปลงระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นการแสดงเจตนาลวง ควรพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ควรเป็นพับ
จำเลยทั้ง ๒ ฎีกา แต่จำเลยที่ ๑ ยื่นฎีกาเกินกำหนดเวลาจึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาซื้อขายต่อกันเพื่อป้องกันมิให้ทรัพย์รายพิพาทถูกยึด มิใช่มีเจตนาซื้อขายต่อกันจริงจัง เป็นแต่ทำหนังสือสัญญาซื้อขายไว้เพื่อลวงว่าจำเลยที่ ๑ ได้ขายที่พิพาทไปแล้ว
เมื่อคำนึงถึงราคาตามที่ปรากฎจากคำพยานฝ่ายโจทก์ประกอบกับสภาพของทรัพย์ที่ตีราคาซื้อขายกัน คือที่นาแปลงละ ๑,๐๐๐ บาท ที่บ้านและบ้าน ๒,๐๐๐ บาท แปลงที่เป็นที่บ้านนั้นเป็นที่สวนและมีนาด้วยทั้งมีเรือนถาวรปลูกอยู่อีก ๑ หลัง ราคาที่ระบุซื้อขายน่าจะมิใช่ราคาแท้จริงที่ซื้อขายกันตามปกติ
ปรากฎว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาที่ดินกันตั้งแต่วันที่ ๑๐ มิ.ย. ๙๖ จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๓ ส.ค. ๙๘ นางจับภรรยาจำเลยที่ ๑ และบุตรของจำเลยที่ ๑ ยังคงอยู่และทำกินในดินรายพิพาทดังเดิมตลอดมา โดยจำเลยที่ ๒ มิได้เกี่ยวข้องทำอะไรในที่ดินเลย และหลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว นายเขียวบุตรเขยจำเลยที่ ๑ ยังได้ปลูกเรือนอยู่ในที่ดินรายพิพาทอีก เป็นการผิดวิสัยในเรื่องมีการซื้อขายกันแลว้ ส่อให้เห็นว่าการทำสัญญาซื้อขายเป็นการแสดงเจตนาลวง มิใช่เจตนาซื้อขายต่อกันจริงจัง จึงพิพากษายืนให้จำเลยที่ ๒ เสียค่าทนายชั้นฎีกา ๑๐๐ บาทแทนโจทก์