คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2389/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องให้จำเลยเช่าซื้อรถพ่วงบรรทุก จำเลยชำระค่าเช่าซื้อเพียง 5 งวดแล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีก แม้ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่า “ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระงวดหนึ่งงวดใด หรือผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด… ให้ถือว่าเป็นการผิดนัดผิดสัญญา และยอมให้สัญญาเช่าซื้อนี้เป็นอันมีผลบังคับได้ทันที โดยมิต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าก่อน” แต่เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 6 ผู้ร้องยังยอมรับเช็คซึ่งชำระค่าเช่าซื้อในงวดต่อมาโดยนำเช็คไปเบิกเงิน ผู้ร้องก็มิได้เลิกสัญญา หรือยึดรถพ่วงบรรทุกคืนแสดงว่า ผู้ร้องมิได้ถือเอากำหนดเวลาที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดตามสัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญของสัญญาและไม่ประสงค์จะเลิกสัญญาโดยอาศัยข้อสัญญาดังกล่าว นอกจากนี้ สัญญาเช่าซื้อข้อ 9 ยังระบุว่า”ในระหว่างที่ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อยังไม่หมดและมีเหตุวิบัติทำให้ทรัพย์สินที่เช่าซื้อเป็นอันตรายหรือสูญหายโดยเหตุประการใด ๆแม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้เช่าซื้อก็ตกลงยินยอมชำระค่าเช่าซื้อที่ยังค้างอยู่ทั้งหมดให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อจนครบถ้วนโดยพลัน”ดังนั้นเมื่อผู้ร้องไม่บอกเลิกสัญญาและไม่ติดตามรถพ่วงที่เช่าซื้อคืน จึงเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่า ผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการได้รับค่าเช่าซื้อเท่านั้น เมื่อจำเลยนำรถไปใช้กระทำผิดและถูกริบและมีผู้แจ้งให้ผู้ร้องทราบ ผู้ร้องจึงมาขอรถของกลางคืน เป็นการขอคืนแทนผู้กระทำผิด ถือว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดไม่อาจขอคืนรถพ่วงของกลางได้.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงดทษจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515ข้อ 56, 83 และให้ริบรถพ่วงบรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-8673สุพรรณบุรี ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคืนรถพ่วงบรรทุกแก่ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้าน
ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2530 นางปัญญาทิพย์ อัครสินวงษ์ ได้เช่าซื้อรถพ่วงบรรทุกของกลางจากผู้ร้องในราคา 240,000 บาท โดยมีนายวิสารช้างทองแดง เป็นผู้ค้ำประกัน นางปัญญาทิพย์ได้ชำระเงินในวันทำสัญญา24,000 บาท และจะต้องชำระส่วนที่เหลือ 216,000 บาท อีก 9 งวดงวดละ 24,000 บาท ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2530 ถึงเดือนมกราคม2531 นางปัญญาทิพย์ได้ชำระค่าเช่าซื้อด้วยเช็คลงวันที่ล่วงหน้าทั้ง 9 งวด แต่เช็คค่าเช่าซื้องวดที่ 6 ถึงวดที่ 9 ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมาวันที่ 21 พฤศจิกายน 2531 จำเลยได้ขับรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-8672 สุพรรณบุรี ลากจูงรถพ่วงบรรทุกของกลางบรรทุกถ่านหินลิกไนต์เกินอัตราที่กำหนด ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและให้ริบรถพ่วงบรรทุกของกลาง มีปัญหาตามที่ผู้ร้องฎีกาว่า รถพ่วงบรรทุกของกลางเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหรือไม่เห็นว่า ผู้ร้องมีนายสุรพล ชัยตระกูลทอง กรรมการของผู้ร้องเบิกความว่า รถพ่วงบรรทุกเป็นของผู้ร้องตามหนังสือแสดงการจดทะเบียนของสำนักงานขนส่งจังหวัดสุพรรณบุรี และผู้ร้องได้ในนางปัญญาทิพย์อัครสินวงษ์ เช่าซื้อไป ซึ่งโจทก์ไม่ได้สืบหักล้างเอกสารดังกล่าวจึงฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถพ่วงบรรทุกของกลาง ปัญหาที่ผู้ร้องฎีกาต่อไปมีว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นใจด้วยในการกระทำความผิดหรือไม่ ผู้ร้องมีนายสุรพร และนายโกเมศ สดใส พนักงานเอกสารซึ่งมีหน้าที่จัดทำสัญญาเช่าซื้อต่าง ๆ ของผู้ร้องเบิกความว่านางปัญญาทิพย์ อัครสินวงษ์ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถพ่วงบรรทุกไปจากผู้ร้อง เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2530 นางปัญญาทิพย์ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้ผู้ร้องเพียง 5 งวด แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้ผู้ร้องอีกตึ้งแต่งวดที่ 6 ซึ่งถึงกำหนดชำระในวันที่ 9 ตุลาคม2530 เป็นต้นมา เพราะเช็คที่นางปัญญาทิพย์สั่งจ่ายไว้ล่วงหน้าของงวดที่ 6 ถึงงวดที่ 9 ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเอกสารร.5 หลังจากเช็คที่ชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 6 ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว ผู้ร้องได้ให้พนักงานของผู้ร้องติดตามนางปัญญาทิพย์เพื่อยึดรถพ่วงบรรทุกของกลางคืนแต่ไม่พบตัวนางปัญญาทิพย์และรถพ่วงบรรทุกแต่อย่างใด เห็นว่า แม้ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 8 ระบุว่า “ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระงวดหนึ่งวดใดหรือผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด… ให้ถือว่าเป็นการผิดนัด ผิดสัญญา และยอมหใ้สัญญาเช่าซื้อนี้เป็นอันมีผลบังคับทันที โดยมิต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าก่อน” แต่เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 6แล้ว ผู้ร้องก็ยังยอมรับเช็คซึ่งชำระค่าเช่าซื้อในงวดต่อมาโดยนำเช็คไปเบิกเงินอีก และที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ติดตามนางปัญญาทิพย์เพื่อยึดรถพ่วงบรรทุกคืนแต่ไม่พบตัวนางปัญญาทิพย์และรถพ่วงบรรทุกแต่อย่างใดนั้น นอกจากคำเบิกความลอย ๆ ของนายสุรพลแล้วผู้ร้องไม่มีหลักฐานอื่นมาแสดง จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องได้ติดตามนางปัญญาทิพย์เพื่อยึดรถพ่วงบรรทุกคืน ดังนั้นการที่นางปัญญาทิพย์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 6 ถึงงวดที่ 9 โดยผู้ร้องมิได้เลิกสัญญาหรือยึดรถพ่วงบรรทุกที่ให้เช่าซื้อคืน แสดงว่าผู้ร้องมิได้ถือเอากำหนดเวลาที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดตามสัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญของสัญญาและไม่ประสงค์จะเลิกสัญญาโดยอาศัยข้อสัญญาดังกล่าว นอกจากนี้ในสัญญาเช่าซื้อข้อ 9 ยังได้ระบุว่า”ในระหว่างที่ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อยังไม่หมดและมีเหตุวิบัติทำให้ทรัพย์สินที่เช่าซื้อเป็นอันตรายหรือสูญหาย โดยเหตุประการใด ๆแม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้เช่าซื้อก็ตกลงยินยอมชำระค่าเช่าซื้อที่ยังค้างอยู่ทั้งหมดให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อจนครบถ้วนโดยพลัน”จึงเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการจะได้รับค่าเช่าซื้อตามสัญญาเท่านั้น ผู้ร้องจึงเพิกเฉยไม่บอกเลิกสัญญาไม่ติดตามรถพ่วงบรรทุกที่เช่าซื้อคืน นับตั้งแต่วันที่ 9ตุลาคม 2530 จนถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2531 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยนำรถพ่วงบรรทุกไปใช้กระทำผิดและถูกริบ และนายวิสารผู้ค้ำประกันเป็นผู้แจ้งเรื่องรถพ่วงบรรทุกถูกริบให้ทราบผู้ร้องจึงมาขอรถพ่วงบรรทุกของกลางคืนเป็นการขอคืนแทนผู้กระทำความผิดถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด ผู้ร้องไม่อาจที่จะขอคืนรถพ่วงบรรทุกของกลางได้…”
พิพากษายืน.

Share