คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2386/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มี ส. เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 มาติดต่อขอให้หามือปืนไปฆ่าคน ส. จัดให้จำเลยที่ 1 พบและตกลงว่าจ้างจำเลยที่ 2 กับ ป. ราคา 45,000 บาท ส. รับฝากเงินค่าจ้างงวดแรก 15,000บาทจากจำเลยที่ 1 ไปมอบให้ ป. หลังจากผู้ตายถูกยิงแล้วส.รับเงินค่าจ้างงวดที่สอง30,000บาทจากจำเลยที่1ฝากฉ.ไปมอบให้จำเลยที่ 2 อีก ฉ. เบิกความสอดคล้องกัน ประกอบกับจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวน รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 กับพวกให้ไปฆ่าผู้ตายจริงอันเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289, 83, 84 ริบของกลาง และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 819/2527 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 89/2528ของศาลจังหวัดนราธิวาส
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
นายทวี อมรนิมิตร บิดาของนายวิวัฒน์ อมรนิมิตร ผู้ตายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 84 ลงโทษประหารชีวิต รับสารภาพชั้นสอบสวนลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ลงโทษประหารชีวิตรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกตลอดชีวิต ริบของกลาง และนับโทษของจำเลยที่ 2 ต่อจากคดีของศาลจังหวัดนราธิวาส
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 2 โจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยคดีสำหรับจำเลยที่ 2ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘โจทก์มีนายเสนาะ สมศรี มาเบิกความยืนยันว่า เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2527 เวลา 9 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ได้ไปหาพยานที่บ้าน บอกว่า นายปรุง สุนทรวาทะ ให้มาหาคนไปทำงาน (ให้ไปฆ่าคน) พยานจึงให้จำเลยที่ 1 ไปติดต่อกับจำเลยที่ 2 และนายประยูรหรือฮุย ทองสวัสดิ์ ซึ่งขณะนั้นคนทั้งสองอยู่ที่บ้านพยานพอดี หลังจากจำเลยที่ 1 คุยกับจำเลยที่ 2และนายประยูรหรือฮุยประมาณครึ่งชั่วโมง ทั้งสามคนก็ขับรถออกจากบ้านพยานไป หลังจากนั้นประมาณ 3 ชั่วโมงทั้งสามคนก็กลับมา พยานได้ถามจำเลยที่ 1 ว่าได้ตกลงจ้างกันหรือเปล่าจำเลยที่ 1 บอกพยานว่าตกลงจ้างจำเลยที่ 2 กับนายประยูรหรือฮุยให้ไปยิงผู้ตายในราคา 45,000 บาท ชำระงวดแรก 15,000บาท หลังจากฆ่าแล้วจะให้อีก 30,000 บาท วันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 1 ได้นำเงินจำนวน 15,000 บาทมาฝากพยานเพื่อมอบให้จำเลยที่ 2 หรือนายประยูรหรือฮุย พยานจึงมอบเงินดังกล่าวให้นายประยูรหรือฮุยไป หลังจากผู้ตายถูกยิงตายแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ จำเลยที่ 1 ได้นำเงินใส่ถุงกระดาษสีน้ำตาลจำนวน 30,000 บาทมาให้พยาน บอกว่าเงินค่าจ้างที่ฆ่าผู้ตายและจำเลยที่ 1 ยังได้มอบเงินสดให้พยานอีก 3,000 บาทด้วยพยานได้ติดตามจำเลยที่ 2 กับนายประยูรหรือฮุยแต่ไม่พบจึงนำเงินดังกล่าวไปฝากไว้กับนายฉลอง อาริยะเกรียงไกร เพื่อมอบให้จำเลยที่ 2 หรือนายประยูรหรือฮุย หลังจากนั้น 3 วันพยานได้พบนายฉลอง นายฉลองบอกว่าได้มอบเงินดังกล่าวให้นายประยูรหรือฮุยไปแล้ว หลังจากนั้นพยานมีความกลัวจึงหลบไปอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ต่อมาทราบว่าเจ้าพนักงานตำรวจต้องการตัวให้เป็นพยาน พยานจึงให้นายภิมุข อังกินันท์ พาเข้าพบผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรีและโจทก์มีนายฉลองอาริยะเกรียงไกร มาเบิกความยืนยันว่า หลังจากผู้ตายถูกยิงตายแล้ว 2-3 วัน นายเสนาะ สมศรี นำเงินใส่ถุงกระดาษสีน้ำตาลมามอบให้พยาน บอกว่าฝากให้จำเลยที่ 2 ด้วย ต่อมาวันเดียวกันนั้นจำเลยที่ 2 เดินผ่านอู่ซ่อมรถของพยาน พยานจึงบอกจำเลยที่ 2ว่า จำเลยที่ 1 ฝากเงินมาให้ แล้วจำเลยที่ 2 ก็หยิบถุงเงินไป พยานทราบภายหลังว่าเงินนั้นเป็นค่าจ้างที่นายปรุงจ้างฆ่าผู้ตาย แม้นายเสนาะจะเบิกความว่า นายฉลองบอกว่าได้มอบเงิน 30,000 บาทให้นายประยูรหรือฮุยไปแต่นายฉลองเบิกความว่าได้มอบให้แก่จำเลยที่ 2 ก็ไม่ถือว่าแตกต่างกันในข้อสำคัญเพราะนายเสนาะสั่งให้มอบให้ทั้งสองคนใดก็ได้พยานโจทก์ทั้งสองปากจึงเบิกความสอดคล้องกัน มีเหตุมีผลน่าเชื่อว่าเบิกความตามจริง ทั้งเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพตามเอกสารหมายจ.14 ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพต่อพันตำรวจเอกธรรมนิตย์ ปิตะนีละบุตร รองผู้บังคับการตำรวจภูธร 3ซึ่งเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ พันตำรวจเอกธรรมนิตย์จึงได้ให้พันตำรวจโทนิราศ จารุเวศ ทำการสอบสวน จำเลยที่ 1 ได้ให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.16 ได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพให้เจ้าพนักงานตำรวจถ่ายภาพไว้ตามบันทึกการนำผู้ต้องหาชี้สถานที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.17 และภาพถ่าย 11 ภาพซึ่งจำเลยที่ 1ลงชื่อรับรองไว้ และโจทก์มีพันตำรวจโทนิราศมาเบิกความสนับสนุน จึงฟังได้มั่นคงว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 กับพวกให้ไปฆ่าผู้ตายจริงอันเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน ส่วนที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่าไม่ได้กระทำผิด และว่ามีชายคนหนึ่งไม่ทราบชื่อฝากถุงกระดาษไปให้นายเสนาะพยานโจทก์ที่บ้านโดยไม่ทราบว่าเป็นถุงบรรจุอะไรนั้นขัดต่อเหตุผล และที่จำเลยที่ 1 ว่าถูกทำร้ายให้รับสารภาพนั้นก็เบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องตามกันมาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share