คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2382/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าเดิมโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเนื้อที่44ไร่3งาน28ตารางวาในปี2529โจทก์ให้ศ.เช่าปลูกโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่นอนฟ้องน้ำจำนวน5ไร่ค่าเช่าไร่ละ1,000บาทต่อปีมีกำหนดการเช่า30ปีเช่าได้3ถึง4ปีเกิดไฟไหม้โรงงานหมดสิ้นจึงมีกรณีฟ้องร้องเกี่ยวกับการเช่าซึ่งโจทก์มอบให้จำเลยจัดการแทนแต่จำเลยอ้างว่าต้องให้จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินจึงจะดำเนินการได้และโจทก์ไม่ต้องเสี่ยงโจทก์จึงให้ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและตกลงกันว่าหากคดีเสร็จแล้วจำเลยจะคืนที่ดินให้โจทก์ส่วนผลประโยชน์ค่าเช่าหรือรายได้อื่นของที่ดินระหว่างที่จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์อยู่จำเลยจะยกให้โจทก์ทั้งหมดต่อมาโจทก์ทราบว่าคดีเสร็จแล้วจำเลยนำที่ดินไปให้ผู้อื่นเช่าใหม่ในปี2534โดยจำเลยได้รับเงินกินเปล่า400,000บาทและค่าเช่าเป็นรายปีปีละประมาณ15,000บาทถึง18,000บาทอีกด้วยการกระทำของจำเลยเป็นการฉ้อฉลใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ว่าโจทก์จะถูกฟ้องร้องแบ่งที่ดินต้องให้จำเลยจัดการและต้องให้จำเลยมีชื่อในโฉนดที่ดินจึงจะจัดการได้จนโจทก์หลงเชื่อยอมจดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งหมดขอให้พิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินดังกล่าวโดยให้ที่ดินกลับมาเป็นของโจทก์ดังเดิมคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นและคำขอบังคับแล้วส่วนที่โจทก์ได้บรรยายฟ้องด้วยว่าตั้งแต่จำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นจำเลยไม่เคยแบ่งค่าเช่าหรือผลประโยชน์จากที่ดินดังกล่าวให้โจทก์หรือมอบให้โจทก์ใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรในการดำรงชีวิตจำเลยไม่เอาใจใส่เลี้ยงดูโจทก์ทั้งพูดจากระทบกระเทียบบีบบังคับจนโจทก์ไม่สามารถอยู่อาศัยในบ้านของโจทก์ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทและโจทก์จำเลยอยู่ร่วมกันต่อไปได้โจทก์ต้องไปอาศัยผู้อื่นอยู่เป็นการประพฤติเนรคุณนั้นเป็นเพียงการบรรยายประกอบให้เห็นพฤติการณ์อันไม่สมควรที่จำเลยได้กระทำต่อโจทก์หลังจากที่โจทก์ได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยเพื่อให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์แทนระหว่างที่จำเลยดำเนินการแทนโจทก์ในกรณีฟ้องร้องเกี่ยวกับการเช่าที่ดินพิพาทเท่านั้นมิใช่เป็นการบรรยายสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่ใช้เป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นโดยโจทก์ประสงค์จะให้มีการบังคับแก่จำเลยเป็นอีกข้อหนึ่งต่างหากในขณะเดียวกันไม่คำฟ้องของโจทก์จึงมิใช่เป็นคำฟ้องที่ตั้งประเด็นเป็น2นัยซึ่งขัดแย้งกันแต่อย่างใดฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นคำฟ้องเคลือบคลุมแต่ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมดังนี้ปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยเพื่อให้จำเลยดำเนินคดีต่อบุคคลภายนอกแทนมิใช่โอนให้โดยเสน่หาหรือไม่แม้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ก็ตามแต่ปรากฎว่าโจทก์และจำเลยได้มีโอกาสสืบพยานของตนอย่างเต็มภาคภูมิแล้วจึงไม่มีเหตุจำเป็นที่ศาลฎีกาจะต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ก่อนอันจะทำให้คดีต้องล่าช้าไปโดยใช่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2721 เนื้อที่ 44 ไร่ 3 งาน 28 ตารางวา ในปี 2529 ขอให้พิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 2721 โดยให้ที่ดินกลับมาเป็นชื่อของโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดังเดิม และให้จำเลยส่งมอบที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์พร้อมทั้งไปดำเนินการจดทะเบียนคืนที่ดินให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยความยินยอมเห็นชอบจากโจทก์และพี่น้องของจำเลยทุกคน จำเลยมิได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเพื่อดำเนินคดีแทนโจทก์ตามฟ้อง และไม่เคยตกลงว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์เมื่อเสร็จคดี โจทก์เป็นผู้รับผลประโยชน์จากค่าเช่าเงินกินเปล่าหรือเงินอื่นใดที่เกิดมีขึ้นบนที่ดินพิพาทด้วยตนเองทั้งสิ้น จำเลยไม่เคยได้รับหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับเงินดังกล่าว โจทก์จำเลยอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังเดียวกัน จำเลยมีอาชีพหาปลาและรับจ้างเป็นช่างทั่วไปมีรายได้ประมาณเดือนละ 4,000 บาท จำเลยให้ความอุปการะโจทก์เป็นครั้งคราวเท่าที่จะให้ได้โจทก์ได้รับการดูแลจากพี่น้องจำเลยซึ่งอาศัยอยู่ภายในที่ดินพิพาทโดยปลูกบ้านอยู่ใกล้เคียงกับบ้านของโจทก์และจำเลย จำเลยไม่เคยพูดจากระทบกระเทียบด่าว่าหรือประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ ที่โจทก์ไม่สามารถอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทได้เนื่องจากโจทก์ได้ภริยาใหม่ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะบรรยายฟ้องในตอนแรกว่าโจทก์มอบให้จำเลยจัดการแทนเรื่องที่มีการฟ้องร้องเกี่ยวกับการเช่าที่ดิน แต่จำเลยอ้างว่าต้องให้จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน จึงจะดำเนินการได้ จึงให้ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และตกลงว่าหากคดีเสร็จแล้วจำเลยจะคืนที่ดินให้โจทก์ ซึ่งแสดงว่าโจทก์ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ระหว่างดำเนินคดีเท่านั้น โจทก์ไม่ได้ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยแต่ในตอนท้ายโจทก์กลับบรรยายฟ้องในทำนองว่าจำเลยประพฤติเนรคุณและขอคืนการให้ซึ่งขัดกัน นอกจากนี้โจทก์ก็ไม่ได้บรรยายให้ชัดเจนว่าจำเลยประพฤติเนรคุณอย่างไร เมื่อใด ที่ไหน ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยเพื่อมอบให้จำเลยดำเนินคดีแก่บุคคลภายนอกแทน มิใช่โอนให้จำเลยโดยเสน่หาและพิพากษาให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 2721คืนโจทก์ โดยให้โจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลย อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่กรรม นายสุทินชูสงวน และนางจิรพรรณ ชูสงวน ผู้จัดการมรดกของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างโดยตั้งประเด็นเป็น 2 นัย ซึ่งขัดแย้งกัน เป็นคำฟ้องเคลือบคลุม และพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่าโจทก์มีบุตร 7 คน โดยจำเลยเป็นบุตรคนรองสุดท้าย เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2721 เนื้อที่ 44 ไร่ 3 งาน 28 ตารางวาโจทก์จดทะเบียนแบ่งที่ดินเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ ให้นายศักดิ์ชัยสุทธิจิตต์ เช่าเพื่อสร้างโรงงานเฟอร์นิเจอร์และฟองน้ำมีกำหนด30 ปี ต่อมาวันที่ 8 มกราคม 2533 โจทก์จดทะเบียนยกที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงให้จำเลยโดยเสน่หา ตามสำเนาหนังสือสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย จ.3
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นข้อแรกตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ในปัญหานี้ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมโดยโจทก์บรรยายฟ้องในตอนแรกว่า โจทก์ได้มอบให้จำเลยจัดการแทนเรื่องที่มีการฟ้องร้องเกี่ยวกับการเช่าที่ดิน แต่จำเลยอ้างว่าต้องให้จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน จึงจะดำเนินการได้จึงให้ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และตกลงว่าหากคดีเสร็จแล้วจำเลยจะคืนที่ดินให้โจทก์ ซึ่งแสดงว่าโจทก์ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ระหว่างดำเนินคดีเท่านั้น โจทก์ไม่ได้ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยแต่โจทก์บรรยายฟ้องในตอนท้ายว่า จำเลยประพฤติเนรคุณและขอถอนคืนการให้ ซึ่งขัดกัน และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยประพฤติเนรคุณ ไม่เอาใจใส่เลี้ยงดู มีการด่าทอแสดงความรังเกียจโจทก์ไม่ได้บรรยายให้ชัดเจนว่าจำเลยได้กระทำลงไปอย่างไร เมื่อใด ที่ไหนใช้คำพูดเช่นใดแสดงอาการกิริยาแบบใด ไม่เลี้ยงดูโจทก์อย่างไร ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น ปรากฎว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าเดิมโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 2721 เนื้อที่ 44 ไร่ 3 งาน28 ตารางวา ในปี 2529 โจทก์ให้นายศักดิ์ชัยหรือณรงค์ สุทธิจิตต์เช่าปลูกโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่นอนฟ้องน้ำจำนวน 5 ไร่ ค่าเช่าไร่ละ 1,000 บาท ต่อปี มีกำหนดการเช่า 30 ปี เช่าได้ 3 ถึง 4 ปีเกิดไฟไหม้โรงงานหมดสิ้นจึงมีกรณีฟ้องร้องเกี่ยวกับการเช่าซึ่งโจทก์มอบให้จำเลยจัดการแทน แต่จำเลยอ้างว่าต้องให้จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน จึงจะดำเนินการได้และโจทก์ไม่ต้องเสี่ยง โจทก์จึงให้ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและตกลงกันว่าหากคดีเสร็จแล้วจำเลยจะคืนที่ดินให้โจทก์ ส่วนผลประโยชน์ค่าเช่าหรือรายได้อื่นของที่ดินระหว่างที่จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์อยู่ จำเลยจะยกให้โจทก์ทั้งหมด ต่อมาโจทก์ทราบว่าคดีเสร็จแล้วจำเลยนำที่ดินไปให้ผู้อื่นเช่าใหม่ในปี 2534 โดยจำเลยได้รับเงินกินเปล่า 400,000 บาทและค่าเช่าเป็นรายปี ปีละประมาณ 15,000 บาท ถึง 18,000 บาทอีกด้วย การกระทำของจำเลยเป็นการฉ้อฉลใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ว่าโจทก์จะถูกฟ้องร้องแบ่งที่ดิน ต้องให้จำเลยจัดการและต้องให้จำเลยมีชื่อในโฉนดที่ดินจึงจะจัดการได้ จนโจทก์หลงเชื่อยอมจดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งหมด ขอให้พิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินดังกล่าวโดยให้ที่ดินกลับมาเป็นของโจทก์ดังเดิม คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นและคำขอบังคับแล้วส่วนที่โจทก์ได้บรรยายฟ้องด้วยว่า ตั้งแต่จำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น จำเลยไม่เคยแบ่งค่าเช่าหรือผลประโยชน์จากที่ดินดังกล่าวให้โจทก์หรือมอบให้โจทก์ใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรในการดำรงชีวิตจำเลยไม่เอาใจใส่เลี้ยงดูโจทก์ทั้งพูดจากระทบกระเทียบบีบบังคับจนโจทก์ไม่สามารถอยู่อาศัยในบ้านของโจทก์ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทและโจทก์จำเลยอยู่ร่วมกันต่อไปได้โจทก์ต้องไปอาศัยผู้อื่นอยู่ เป็นการประพฤติเนรคุณนั้น เป็นเพียงการบรรยายประกอบให้เห็นพฤติการณ์อันไม่สมควรที่จำเลยได้กระทำต่ำโจทก์หลังจากที่โจทก์ได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยเพื่อให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์แทนระหว่างที่จำเลยดำเนินการแทนโจทก์ในกรณีฟ้องร้องเกี่ยวกับการเช่าที่ดินพิพาทเท่านั้น มิใช่เป็นการบรรยายสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่ใช้เป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นโดยโจทก์ประสงค์จะให้มีการบังคับแก่จำเลยเป็นอีกข้อหนึ่งต่างหากในขณะเดียวกันไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงมิใช่เป็นคำฟ้องที่ตั้งประเด็นเป็น2 นัย ซึ่งขัดแย้งกันแต่อย่างใด ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยเพื่อให้จำเลยดำเนินคดีต่อบุคคลภายนอกแทน มิใช่โอนให้โดยเสน่หาหรือไม่ แม้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ก็ตาม แต่ปรากฎว่าโจทก์และจำเลยได้มีโอกาสสืบพยานของตนอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว จึงไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ก่อน อันจะทำให้คดีต้องล่าช้าไปโดยใช่เหตุ ศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ไปเสียทีเดียว ในปัญหานี้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานของจำเลยนี้น้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ฟังได้ว่าโจทก์ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยโดยเสน่หา มิใช่โอนที่พิพาทให้จำเลยเพื่อให้จัดการเกี่ยวกับกรณีพิพาทกับผู้เช่าที่ดินพิพาทปลูกสร้างโรงงานเฟอร์นิเจอร์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน

Share