แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมที่ดินโฉนดพิพาทมีชื่อพ. เป็นเจ้าของร่วมกับฟ.มารดาจำเลยพ. เป็นมารดาของท. บิดาโจทก์พ. และท.ถึงแก่ความตายแต่โฉนดพิพาทยังมีชื่อพ. ถือกรรมสิทธิ์รวมอยู่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกของพ.และท. เมื่อพ. ถึงแก่ความตายป. บิดาจำเลยรับโอนมรดกที่ดินส่วนของนางฟ. แล้วป. ขายฝากที่ดินเฉพาะส่วนของตนจนหลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของส. ต่อมาจำเลยซื้อที่ดินเฉพาะส่วนดังกล่าวคืนจากส.แล้วโอนขายให้แก่ศ. หลังจากนั้นจำเลยได้ยื่นคำร้องขออ้างว่าพ. ยกที่ดินส่วนของพ. ให้จำเลยและจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยและคดีถึงที่สุดโดยที่พ. ไม่ได้ยกที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลยดังนี้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทคนหนึ่งของพ. ซึ่งมิใช่คู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ของจำเลยในที่ดินพิพาทส่วนของพ.โจทก์จึงเป็นบุคคลภายนอกซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคสอง(2)เมื่อพ. ไม่ได้ยกที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลยดังนั้นที่ดินพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่าพ. เจ้ามรดกไม่ได้ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้จำเลยพร้อมกับมีคำขอท้ายคำฟ้องขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่แสดงกรรมสิทธิ์ของจำเลยในที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของพ. ไม่ผูกพันโจทก์จึงเท่ากับขอให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของพ. ให้แก่โจทก์และโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในส่วนคำขอท้ายฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมกับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมคำฟ้องดังกล่าวโดยจำเลยไม่ได้คัดค้านเมื่อคำฟ้องเดิมและคำร้องขอเพิ่มเติมคำฟ้องภายหลังนั้นเกี่ยวข้องกันศาลอุทธรณ์ชอบที่จะพิพากษาให้ขับไล่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกและเป็นทายาทของนางพัน เวชกิจ เดิมนางพันเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2348 ร่วมกันนางศิริลักษณ์ เยี่ยมประภา ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นขอแสดงกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2348 ในส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของนางพันโดยอ้างว่านางพันยกที่ดินให้จำเลยและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ที่ดินเฉพาะส่วนของนางพันตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยความจริงนางพันไม่เคยยกที่ดินให้จำเลย และจำเลยไม่เคยครอบครอบที่ดินพิพาท ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 792/2533 ที่สั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2348 ในส่วนของนางพัน เวชกิจ เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยนั้นไม่มีผลผูกพันโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางพัน ขอให้มีคำสั่งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ยกเลิกหรือเพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่จำเลยได้แจ้งจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อจำเลยในที่ดินพิพาทและขอให้ขับไล่จำเลยด้วย
จำเลยให้การว่า นางพันยกที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของนางพันให้จำเลยแล้วโดยนายเปลื้อง สนธิรักษ์ บิดาจำเลยเข้าครอบครองแทนจำเลยเมื่อจำเลยแต่งงานกับนายสายหยุด ศรีสุข จึงเข้าครอบครองที่ดินพิพาทดังกล่าวโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นระยะเวลา 30 ปี แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้คำสั่งศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่792/2533 ของศาลชั้นต้นว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2348ในส่วนของนางพัน เวชกิจเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ไม่มีผลผูกพันโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทนางพัน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินส่วนของนางพัน เวชกิจ และห้ามเกี่ยวข้องต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยฎีกาได้เฉพาะข้อกฎหมายในการวินิจฉัยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ของจำเลยในที่ดินพิพาทส่วนของนางพันผูกพันโจทก์หรือไม่ และคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ให้ขับไล่จำเลยด้วยชอบหรือไม่นั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยแล้ว จากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมที่ดินโฉนดพิพาทมีชื่อนางพันเป็นเจ้าของร่วมกับนางเฟื้อมารดาจำเลย นางพันเป็นมารดาของนายท้วน เวชกิจ บิดาโจทก์ นางพันและนายท้วนถึงแก่ความตายแต่โฉนดพิพาทยังมีชื่อนางพันถือกรรมสิทธิ์รวมอยู่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกทั้งสองเมื่อนางเฟื้อถึงแก่ความตาย นายเปลื้องบิดาจำเลยรับโอนมรดกที่ดินส่วนของนางเฟื้อแล้วนายเปลื้องขายฝากที่ดินเฉพาะส่วนของตนจนหลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสนุ่น คงอยู่ ต่อมาจำเลยซื้อที่ดินเฉพาะส่วนดังกล่าวคืนจากนายสนุ่นแล้วโอนขายให้แก่นางศิริลักษณ์ เยี่ยมประภา หลังจากนั้นจำเลยได้ยื่นคำร้องขออ้างว่านางพันยกที่ดินส่วนของนางพันให้จำเลยและจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยและคดีถึงที่สุดโดยที่นางพันไม่ได้ยกที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลย
ปัญหาข้อกฎหมายประการแรกว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ของจำเลยในที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของนางพันผูกพันโจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทคนหนึ่งของนางพันมิใช่คู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ของจำเลยในที่ดินพิพาทส่วนของนางพันดังนั้นโจทก์จึงเป็นบุคคลภายนอกซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคสอง(2) เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางพันไม่ได้ยกที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลย ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์
ส่วนฎีกาปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยประการสุดท้ายว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ขับไล่จำเลยด้วยนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า นางพันเจ้ามรดกไม่ได้ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้จำเลยพร้อมกับมีคำขอท้ายคำฟ้องขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่แสดงกรรมสิทธิ์ของจำเลยในที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของนางพันไม่ผูกพันโจทก์จึงเท่ากับขอให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของนางพันให้แก่โจทก์ เกี่ยวกับเรื่องนี้โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในส่วนคำขอท้ายฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมกับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมคำฟ้องดังกล่าวโดยจำเลยไม่ได้คัดค้าน คำฟ้องเดิมและคำร้องขอเพิ่มเติมคำฟ้องภายหลังนั้นเกี่ยวข้องกันศาลอุทธรณ์ภาค 2จึงชอบที่จะพิพากษาให้ขับไล่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1)
พิพากษายืน