แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้นิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จะเกิดจากการกระทำโดยผิดกฎหมายของจำเลยที่ 1 ที่ลักเอาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินและโฉนดที่ดินพิพาทไป แล้วปลอมลายมือชื่อพนักงานผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจและหนังสือมอบอำนาจช่วงพร้อมประทับตราสำคัญของโจทก์ลงในหนังสือมอบอำนาจ จากนั้นร่วมกับจำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปจดทะเบียนนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี อันเป็นการมิชอบและโจทก์ชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมไถ่ถอนจำนองอันมิชอบดังกล่าวได้ก็ตาม แต่การดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากโจทก์เก็บรักษาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินและโฉนดที่ดินพิพาทไม่ดี ทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานสินเชื่อของโจทก์มีโอกาสลักเอาเอกสารดังกล่าวไปจดทะเบียนนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาท ถือได้ว่าเหตุเกิดเพราะโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่ออยู่ด้วย และข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 2 จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 3 รับโอนที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แล้วจำเลยที่ 3 จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่จำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 4 รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเช่นกัน ดังนั้น หากศาลพิพากษาว่านิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกเป็นโมฆะ และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแล้วร่วมกันจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้รับจำนองที่ดินพิพาทลำดับแรกตามเดิม ย่อมมีผลกระทบต่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งอยู่ในฐานะผู้รับโอนและผู้รับจำนองที่ดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนอย่างแน่นอน เนื่องจากผู้รับจำนองคนหลังจะบังคับตามสิทธิของตนให้เสียหายแก่ผู้รับจำนองคนก่อนนั้นหาได้ไม่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 731 อีกทั้งในชั้นอุทธรณ์โจทก์ยังได้ระบุในอุทธรณ์ของโจทก์โดยแสดงเจตนาให้เห็นว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 หรือขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 เพราะโจทก์เห็นว่า จำเลยที่ 2 ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงมีอำนาจที่จะจดทะเบียนยกให้จำเลยที่ 3 ได้ และจำเลยที่ 3 ก็มีอำนาจที่จะนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่จำเลยที่ 4 ได้เช่นกัน จึงเท่ากับว่าโจทก์ยอมรับถึงสิทธิของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในฐานะผู้รับโอนที่ดินพิพาทและผู้รับจำนองที่ดินพิพาทตามลำดับ
โจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่ออยู่ด้วยจึงไม่มีทางที่จะคงสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้รับจำนองที่ดินพิพาทลำดับแรกไว้ได้โดยไม่กระทบสิทธิของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ดังนั้น ที่โจทก์มีคำขอท้ายคำฟ้องในลำดับแรก ขอให้ศาลพิพากษาว่านิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกเป็นโมฆะ และให้มีการเพิกถอนนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาท โดยให้โจทก์เป็นผู้รับจำนองที่ดินพิพาทลำดับแรกตามเดิม จึงเป็นกรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 213 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 แต่ไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 161 และมาตรา 167 และศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า นิติกรรมการไถ่ถอนจำนองที่ดินในโฉนดที่ดินเลขที่ 55070 ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นโมฆะและให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันไปจดทะเบียนเพิกถอนการจำนองและร่วมกันจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้รับจำนองลำดับแรกลงในโฉนดที่ดินดังกล่าว หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่สามารถบังคับได้เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องหรือไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 690,075.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 และที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 690,075.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้ยกฟ้อง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ สาขาบางปลาสร้อย (ชลบุรี) จำนวน 680,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 55070 ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน ตามสัญญากู้เงิน หนังสือสัญญาจำนองที่ดินและสำเนาโฉนดที่ดิน ระหว่างจำเลยที่ 2 ผ่อนชำระหนี้เงินกู้ วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 2 และเป็นพนักงานสินเชื่ออาวุโสของโจทก์สาขาดังกล่าว ได้ลักเอาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินและโฉนดที่ดินพิพาทซึ่งเก็บรักษาในห้องมั่นคงของโจทก์ไป แล้วจำเลยที่ 1 ปลอมลายมือชื่อนายวีรพลและนางจันทร ผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการของโจทก์สาขาดังกล่าว พร้อมประทับตราสำคัญของโจทก์ลงในหนังสือมอบอำนาจและปลอมลายมือชื่อบุคคลทั้งสองในหนังสือมอบอำนาจช่วง โดยระบุให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทได้ จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำหนังสือสัญญาจำนองที่ดินและโฉนดที่ดินพิพาทกับเอกสารปลอมไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีเพื่อทำนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อจึงจดทะเบียนนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทให้ จากนั้นจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้เงินกู้ไว้แก่จำเลยที่ 4 จำเลยที่ 2 จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 4 และในวันเดียวกันจำเลยที่ 2 จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 3 ต่อมาจำเลยที่ 3 จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้ไว้แก่จำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 4 รับจำนองไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ส่วนจำเลยที่ 3 นั้นเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แต่จดทะเบียนเป็นนิติกรรมให้โดยเสน่หา ต่อมาประมาณเดือนมิถุนายน 2542 โจทก์จึงทราบการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดหลักประกันสำหรับหนี้เงินกู้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 690,075.48 บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จะขอให้ศาลพิพากษาว่านิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกเป็นโมฆะได้หรือไม่ และโจทก์จะขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาท แล้วร่วมกันจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้รับจำนองที่ดินพิพาทลำดับแรกตามเดิมได้หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า เมื่อนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำโดยทุจริตของจำเลยที่ 1 และที่ 2 นิติกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ยังคงเป็นผู้รับจำนองที่ดินพิพาทอยู่ ส่วนนิติกรรมที่กระทำภายหลัง เช่น นิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 4 นิติกรรมให้โดยเสน่หาระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 แม้จะกระทำไปโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก็ไม่อาจยกขึ้นต่อสู้โจทก์ได้นั้น เห็นว่า แม้นิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จะเกิดจากการกระทำโดยผิดกฎหมายของจำเลยที่ 1 ที่ลักเอาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินและโฉนดที่ดินพิพาทไป แล้วปลอมลายมือชื่อพนักงานผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจและหนังสือมอบอำนาจช่วงพร้อมประทับตราสำคัญของโจทก์ลงในหนังสือมอบอำนาจ จากนั้นร่วมกับจำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปจดทะเบียนนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี อันเป็นการมิชอบและโจทก์ชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมไถ่ถอนจำนองอันมิชอบได้ก็ตาม แต่การดังกล่าวเกิดขึ้นได้เนื่องจากโจทก์เก็บรักษาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินและโฉนดที่ดินพิพาทไม่ดี ทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานสินเชื่อของโจทก์มีโอกาสลักเอาเอกสารไปจดทะเบียนนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาท ถือได้ว่าเหตุเกิดเพราะโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่ออยู่ด้วย ทั้งหลังจากนั้นข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 2 จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 3 รับโอนที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แล้วจำเลยที่ 3 จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่จำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 4 รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเช่นกัน ดังนั้น หากศาลพิพากษาว่านิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกเป็นโมฆะและให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแล้วร่วมกันจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้รับจำนองที่ดินพิพาทลำดับแรกตามเดิม ย่อมมีผลกระทบต่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งอยู่ในฐานะผู้รับโอนและผู้รับจำนองที่ดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนอย่างแน่นอน เนื่องจากผู้รับจำนองคนหลังจะบังคับตามสิทธิของตนให้เสียหายแก่ผู้รับจำนองคนก่อนนั้นหาได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 731 อีกทั้งในชั้นอุทธรณ์โจทก์ยังได้ระบุในอุทธรณ์ของโจทก์โดยแสดงเจตนาให้เห็นว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 หรือขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 เพราะโจทก์เห็นว่า จำเลยที่ 2 ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงมีอำนาจที่จะจดทะเบียนยกให้จำเลยที่ 3 ได้ และจำเลยที่ 3 ก็มีอำนาจที่จะนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่จำเลยที่ 4 ได้เช่นกัน จึงเท่ากับว่าโจทก์ยอมรับถึงสิทธิของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในฐานะผู้รับโอนที่ดินพิพาทและผู้รับจำนองที่ดินพิพาทตามลำดับ เมื่อโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่ออยู่ด้วยเช่นนี้ จึงไม่มีทางที่จะคงสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้รับจำนองที่ดินพิพาทลำดับแรกไว้ได้โดยไม่กระทบสิทธิของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ดังนั้น ที่โจทก์มีคำขอท้ายคำฟ้องในลำดับแรกขอให้ศาลพิพากษาว่า นิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกเป็นโมฆะและให้มีการเพิกถอนนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทโดยให้โจทก์เป็นผู้รับจำนองที่ดินพิพาทลำดับแรกตามเดิม จึงเป็นกรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตามโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยกล่าวอ้างสิทธิเรียกร้องมา 2 กรณี คือ เพิกถอนนิติกรรมและละเมิด โดยนอกจากโจทก์จะมีคำขอท้ายคำฟ้องในลำดับแรกดังกล่าวแล้ว โจทก์ยังมีคำขอท้ายคำฟ้องในลำดับหลังอีกว่า หากไม่สามารถบังคับให้มีการเพิกถอนนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทได้เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด ก็ขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยแทน ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ให้การปฏิเสธว่า โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายมาไม่ถูกต้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 690,075.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยอันเป็นไปตามคำขอท้ายคำฟ้องของโจทก์และเป็นการกำหนดค่าเสียหายตามยอดหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 2 ค้างชำระแก่โจทก์แล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 แต่ไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 และมาตรา 167 และศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 และในชั้นฎีกาให้เป็นพับ