แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนจำเลยที่ 1 ถูกจับกุม จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์วนกลับไปกลับมาบนถนนเลียบชายแดนบ้านจะลอ-บ้านลิเซ บริเวณรั้วลวดหนามกั้นชายแดนในเวลากลางคืนหลายรอบ จำเลยที่ 1 ส่งสัญญาณให้จำเลยที่ 2 ออกมาพบเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักร แล้วจำเลยทั้งสองต่างขับรถจักรยานยนต์ออกมาจากรั้วลวดหนามไปตามถนนเลียบชายแดนบ้านจะลอ-บ้านลิเซ ส่วนจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับไปทางบ้านจะลอ จนกระทั่งจำเลยที่ 1 ถูกจ่าสิบเอก จ. กับพวกจับกุมได้ ประกอบกับจำเลยที่ 2 เป็นพี่เขยของจำเลยที่ 1 ย่อมไว้ใจให้จำเลยที่ 1 ให้คอยช่วยเหลือ ดังนั้น พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ทำหน้าที่คอยตรวจตราเส้นทางให้จำเลยที่ 2 ก่อนเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นความผิดฐานสนับสนุน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 97, 100/1, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 62 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน อาวุธปืนลูกซอง และกระเป๋าผ้าสีดำของกลาง และเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหาออกไปและเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในข้อหาออกไปและเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยเปิดเผย ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 62 วรรคสอง และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคสอง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสองตอนท้าย การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง ปรับคนละ 2,000 บาท ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง ปรับคนละ 2,000 บาท ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยเปิดเผย จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 รวม 2,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือน และปรับ 2,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบเมทแอมเฟตามีน กระเป๋าผ้าสีดำและอาวุธปืนของกลาง ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และข้อหาร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตโดยเปิดเผยด้วย คำขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 53 อีกสถานหนึ่ง จำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 2,000,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม อีกสถานหนึ่ง ส่วนความผิดฐานพาอาวุธปืนมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 3,000,000 บาท เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 49 ปี 12 เดือน และปรับ 3,000,000 บาท ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 36 ปี 18 เดือน และปรับ 2,250,000 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 37 ปี 6 เดือน และปรับ 2,250,000 บาท สำหรับจำเลยที่ 1 เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานอื่นของศาลชั้นต้นแล้วเป็นจำคุก 36 ปี 18 เดือน และปรับ 2,252,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานอื่นของศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 37 ปี 15 เดือน และปรับ 2,252,000 บาท หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่าจำเลยที่ 2 เป็นพี่เขยจำเลยที่ 1 ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งสองเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรและกลับเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมืองตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ ขณะที่จำเลยทั้งสองต่างขับรถจักรยานยนต์ไปตามถนนเลียบชายแดนบ้านจะลอ – บ้านลิเซ มุ่งหน้าไปทางบ้านลิเซ จ่าสิบเอกจุติภูมิ กับพวกจับกุมจำเลยที่ 1 ได้ ส่วนจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับไปทางบ้านจะลอ จ่าสิบเอกทนงศักดิ์ กับพวกตรวจค้นตัวจำเลยที่ 2 พบอาวุธปืนลูกซอง ขนาด 12 พร้อมกระสุนปืนในรังเพลิง 1 นัด กระสุนปืนขนาดเดียวกันอีก 2 นัด และเงินสด 100,000 บาท ในกระเป๋าสะพายสีดำ จ่าสิบเอกทนงศักดิ์ยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ตรวจสอบ แล้วให้จำเลยที่ 2 กลับไป ระหว่างที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ออกไป จ่าสิบเอกทนงศักดิ์พบกระเป๋าสะพายสีดำวางอยู่บนถนนตรวจสอบพบเมทแอมเฟตามีน 19,800 เม็ด น้ำหนักสุทธิ 1,823.734 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 339.032 กรัม ยึดเป็นของกลาง ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง และฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นความผิดตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองซึ่งถึงที่สุดแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ ประกอบคำเบิกความของจ่าสิบเอกทนงศักดิ์แล้วได้ความว่าจุดที่ 1 ที่ทำเครื่องหมายดอกจันสีแดงเป็นจุดที่จ่าสิบเอกทนงศักดิ์กับพวกซุ่มดูอยู่ห่างจากถนนประมาณ 15 เมตร ตรงกันข้ามกับถนนที่อยู่ติดกับชายแดนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาโดยมีรั้วลวดหนามที่ทำเครื่องหมายสัญลักษณ์สีน้ำเงินบริเวณสามแยกจุดที่ 3 และจุดที่ 2 เป็นจุดที่จ่าสิบเอกจุติภูมิกับพวกซุ่มดูอยู่ทางไปบ้านลิเซ สภาพกระเป๋าสะพายสีดำของกลางที่บรรจุเมทแอมเฟตามีนของกลางที่วางอยู่บนถนนเป็นกระเป๋าสะพายใบใหญ่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่จ่าสิบเอกทนงศักดิ์เบิกความว่าเห็นจำเลยทั้งสองต่างขับขี่รถจักรยานยนต์อยู่บริเวณรั้วลวดหนามบริเวณชายแดน แล้วจำเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์ผ่านจ่าสิบเอกทนงศักดิ์มุ่งหน้าไปทางบ้านลิเซ ที่จ่าสิบเอกจุติภูมิกับพวกซุ่มอยู่ แสดงว่าจ่าสิบเอกทนงศักดิ์สามารถมองเห็นจำเลยทั้งสองทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แต่จ่าสิบเอกทนงศักดิ์ไม่ได้ยืนยันเลยว่าเห็นจำเลยที่ 2 นำกระเป๋าสะพายสีดำของกลางที่บรรจุเมทแอมเฟตามีนของกลางออกมาด้วย ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าจ่าสิบเอกทนงศักดิ์ซึ่งซุ่มดูอยู่ห่างจากถนนประมาณ 15 เมตร และอยู่ในวิสัยที่สามารถมองเห็นกระเป๋าสะพายสีดำของกลางได้ กลับเบิกความว่าไม่ได้สังเกตว่ามีสัมภาระใดหรือไม่ นอกจากนี้ถนนที่เกิดเหตุจากบริเวณสามแยกตรงจุดที่ 1 และที่ 3 ไปทางบ้านลิเซที่จ่าสิบเอกจุติภูมิกับพวกซุ่มอยู่ถนนมีสภาพคดเคี้ยว หลังจากจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ผ่านจ่าสิบเอกทนงศักดิ์ไปแล้ว จ่าสิบเอกทนงศักดิ์ไม่สามารถเห็นจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ไปตามเส้นทางดังกล่าวตลอดเวลาจนกระทั่งจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับมายังจุดที่จ่าสิบเอกทนงศักดิ์กับพวกซุ่มอยู่ และในคืนเกิดเหตุจ่าสิบเอกจุติภูมิกับพวกก็ไม่ได้พบเห็นจำเลยที่ 2 ประกอบกับศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้โดยให้เหตุผลและรายละเอียดต่าง ๆ ไว้ชอบแล้ว ดังนั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาพฤติการณ์เป็นที่น่าสงสัยว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนของกลางจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หรือฐานสนับสนุนการกระทำความผิดฐานดังกล่าว เห็นว่า จากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากได้ความว่าก่อนจำเลยที่ 1 ถูกจับกุม จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์วนกลับไปกลับมาบนถนนเลียบชายแดนบ้านจะลอ – บ้านลิเซ บริเวณรั้วลวดหนามกั้นชายแดนในเวลากลางคืนหลายรอบ แล้วจำเลยที่ 1 ส่งสัญญาณให้จำเลยที่ 2 ออกมาพบเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักร แล้วจำเลยทั้งสองต่างขับรถจักรยานยนต์ออกมาจากรั้วลวดหนามไปตามถนนเลียบชายแดนบ้านจะลอ – บ้านลิเซ ส่วนจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับไปทางบ้านจะลอ จนกระทั่งจำเลยที่ 1 ถูกจ่าสิบเอกจุติภูมิกับพวกจับกุมได้ ประกอบกับจำเลยที่ 2 เป็นพี่เขยของจำเลยที่ 1 ย่อมไว้ใจให้จำเลยที่ 1 ให้คอยช่วยเหลือ ดังนั้น พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ทำหน้าที่คอยตรวจตราเส้นทางให้จำเลยที่ 2 ก่อนเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นความผิดฐานสนับสนุน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน