แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สิทธิในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งเป็นของโจทก์อีกครึ่งหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกของสามีโจทก์ซึ่งตกทอดไปยังทายาทซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 คน คือ ตัวโจทก์เองและบุตรโจทก์อีก 6 คน(รวมทั้งสามีจำเลยด้วย) การที่สามีจำเลยเอาที่พิพาทไปขายฝากก. ได้นั้น ก็เพราะสามีจำเลยขอยืมที่พิพาทไปจากโจทก์โจทก์มิได้ยกที่พิพาทให้แก่สามีจำเลยจริงๆ กรณีเป็นดังนี้ จึงเท่ากับว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่า ที่พิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินที่สามีจำเลยหาได้ร่วมกันมาดังที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยถอนอุทธรณ์เสียแล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งในประเด็นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ศาลชั้นต้น คงฎีกาแต่เพียงข้อเดียวว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นฎีกาในประเด็นที่คู่ความได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาของนายแจ่ม ร่วมกันทำมาหาได้ที่นา๑ แปลง นายแจ่มถึงแก่กรรม โจทก์ได้ถือสิทธิครอบครองที่นาดังกล่าวนายเบี้ยวบุตรโจทก์ได้จำเลยเป็นภรรยาโดยไม่จดทะเบียนสมรสกันนายเบี้ยวได้ขอยืมที่นาโจทก์ดังกล่าวไปจำนำหรือประกันเงินกู้จากนายกาดนายเบี้ยวถึงแก่กรรม โจทก์ทราบว่านายเบี้ยวได้เอาที่นาของโจทก์ไปขายฝากนายกาดเป็นเงิน ๕,๕๐๐ บาท ทางอำเภอแนะนำให้โจทก์ไปขอรับมรดกที่นานั้นเสียก่อน จึงจะไถ่ถอนการขายฝากได้ โจทก์จึงไปร้องขอรับมรดกที่นาตามคำแนะนำของอำเภอ จำเลยไปคัดค้านขอแบ่งที่นานี้ครึ่งหนึ่ง โจทก์เห็นว่าแม้ที่นานี้จะเป็นมรดกของนายเบี้ยว ที่นาก็ย่อมจะตกได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทจำเลยไม่มีสิทธิที่จะได้รับมรดกของนายเบี้ยว ขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องกับที่นาของโจทก์ขอให้จำเลยไปถอนคำคัดค้านที่อำเภอเสีย
จำเลยให้การว่า จำเลยแต่งงานอยู่กินกับนายเบี้ยว มีบุตรด้วยกัน ๔ คนที่นาที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเบี้ยวกับจำเลย เด็กทั้งสี่คนจึงมีสิทธิได้รับมรดกของนายเบี้ยว โจทก์ไม่มีสิทธิ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ครึ่งหนึ่งของที่พิพาทกับอีกหนึ่งในเจ็ดของอีกครึ่งหนึ่งเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องขัดขวางสิทธิของโจทก์
ทั้งโจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จำเลยขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์ได้
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์ให้นาที่พิพาทสามีจำเลยทำกิน โจทก์มิได้สละสิทธิในที่พิพาทโดยเด็ดขาด นาที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าเมื่อโจทก์ครอบครองตลอดมาและจำเลยเข้าทำกินโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ จำเลยจึงไม่มีทางได้สิทธิ ในชั้นนี้ไม่มีประเด็นเรื่องมรดกของนายแจ่ม โจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยตามฟ้องได้พิพากษาแก้ เป็นห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับนาที่พิพาทของโจทก์ตามฟ้องให้จำเลยไปถอนคำคัดค้านต่ออำเภอเมืองเพชรบูรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สิทธิในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งเป็นของโจทก์ อีกครึ่งหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายแจ่มสามีโจทก์ซึ่งตกทอดไปยังทายาทซึ่งมีอยู่ทั้งหมด ๗ คน คือ ตัวโจทก์เอง บุตรโจทก์อีก ๖ คน(รวมทั้งสามีจำเลยด้วย) การที่สามีจำเลยเอาที่พิพาทไปขายฝากนายกาดได้นั้นก็เพราะสามีจำเลยขอยืมที่พิพาทไปจากโจทก์ โจทก์มิได้ยกที่พิพาทให้แก่สามีจำเลยจริง ๆ กรณีเป็นดังนี้ จึงเท่ากับว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่าที่พิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินที่สามีจำเลยกับจำเลยหาได้ร่วมกันมาดังที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ฉะนั้นเมื่อจำเลยถอนอุทธรณ์เสียแล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งในประเด็นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ศาลชั้นต้น คงฎีกาแต่เพียงข้อเดียวว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นฎีกาในประเด็นที่คู่ความได้ว่ากล่าวต่อสู้กันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์
ยกฎีกาของจำเลย