แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในเรื่องเรือใบกับเรือกลไฟชนกัน เมื่อเจ้าของเรือใบมาฟ้องเรียกค่าเสียหาย เป็นหน้าที่ของฝ่ายเรือกลไฟจะต้องนำสืบก่อนในข้อที่จะไม่ต้องรับผิด ส่วนจำนวนค่าเสียหายเป็นหน้าที่ของฝ่ายเรือใบจะต้องนำสืบก่อน
ในเรื่องเรือชนกัน เมื่อศาลชั้นต้นกะหน้าที่นำสืบก่อนหลังผิดไป และคู่ความได้นำสืบไปตามนั้นแล้ว แม้ฎีกาของคู่ความที่คัดค้านในข้อนี้ฟังขึ้น ศาลฎีกาก็ไม่ย้อนสำนวนให้สืบพยานกันใหม่
เพียงแต่ปรากฏว่า ผู้อุทธรณ์ไปนำเจ้าพนักงานส่งสำเนาฟ้องอุทธรณ์ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเกินกำหนด 15 วันไป 4 วันนับแต่วันศาลสั่งรับอุทธรณ์นั้นยังไม่พอถือว่าทิ้งฟ้องอุทธรณ์อันถึงกับจะให้จำหน่ายคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเรือภานุรังษีเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นนายเรือ จำเลยที่ 3 เป็นผู้นำร่อง จำเลยที่ 4 เป็นนายท้ายได้แล่นชนเรือฉลอมท้ายญวนของโจทก์จม โดยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2, 3, 4 ที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา โจทก์ต้องเสียหาย จึงขอให้จำเลยใช้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เรือโจทก์เป็นฝ่ายผิด แล่นตัดหน้าเรือจำเลยในระยะใกล้ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
ส่วนข้อที่โจทก์ร้องว่า จำเลยทิ้งฟ้อง (อุทธรณ์) นั้น ปรากฎว่าจำเลยยื่นอุทธรณ์วันที่ 29 สิงหาคม 2489 ศาลแพ่งออกหมายถึงทนายโจทก์ลงวันที่ 2 กันยายน 2489ให้แก่อุทธรณ์ภายใน 15 วันรายงานกองหมายลงวันที่ 18 กันยายน นั้นว่าทนายจำเลยที่ 1 นำนักการส่งหมายให้แก่ฝ่ายโจทก์ได้ในวันนั้น ไม่ปรากฏว่ากองหมายได้รับหมายส่งฟ้องอุทธรณ์วันใด และวันที่ 18 กันยายนที่ส่งหมายได้นั้น เป็นวันที่จำเลยนำส่งหมายให้นัดแรกหรือไม่ไม่ปรากฏจึงเห็นว่ายังไม่มีเหตุที่พอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยทิ้งฟ้องจึงยกคำร้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขึ้นมาทั้ง 2 กรณี
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิด โดยแล่นเรือตัดหน้าเรือจำเลย
ส่วนข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนนั้นแม้จะไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 439 เพราะเรือจำเลยใช้เครื่องจักรกลจำเลยย่อมมีหน้าที่นำสืบก่อนก็ดี แต่ก็คงมีประเด็นค่าเสียหายที่โจทก์จะต้องนำสืบก่อนอยู่เหมือนกัน และแม้ศาลฎีกาจะสั่งให้จำเลยกลับสืบใหม่ ก็คงไม่มีผลทำให้การวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป เพราะคู่ความต่างได้สืบพยานจนสิ้นกระแสความแล้ว จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้สืบพยานใหม่
ในข้อทิ้งฟ้อง ก็เห็นว่าตามพฤติการณ์ที่ปรากฏ ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะให้ถือว่า จำเลยได้ทิ้งฟ้องอุทธรณ์อันจะถึงแก่ทำให้จำหน่ายคดี จึงพิพากษายืน