คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2369/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีพิพาทเรื่องที่ดิน เมื่อผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลง กันว่าหากเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแล้ว ปรากฏว่าฝ่ายใดรุกล้ำก็ให้คืนที่ดินพิพาทให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีเจตนาจะครอบครองที่ดินอย่างเป็นเจ้าของเฉพาะที่เป็นส่วนของผู้ร้องเท่านั้น หากเป็นของบุคคลอื่นผู้ร้องก็ไม่มีเจตนาจะครอบครองและยึดถือเป็นของตน ดัง นั้น แม้ผู้ร้องจะครอบครองที่ดินพิพาทโดย ความสงบและเปิดเผยเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท.

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ผู้ร้องได้ครอบครองในที่ดินโฉนดที่ 3เนื้อที่ประมาณ 9.6 ตารางเมตร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 และให้มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงรายให้ทำนิติกรรมแก้ทะเบียนผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 3 เป็นของผู้ร้องเฉพาะส่วนที่ผู้ร้องครอบครองด้วย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ได้ครอบครองที่ดินโฉนดที่ 3 ของผู้ร้องคัดค้านเนื้อที่ 9.6 ตารางเมตร ด้วยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแต่อย่างใด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องได้ปลูกสร้างอาคารบนที่ดินของผู้ร้องและอาคารบางส่วนอยู่บนที่ดินของผู้คัดค้านผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินและอาคารของผู้ร้องในส่วนที่อยู่บนที่ดินของผู้คัดค้านตลอดมา แสดงว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวด้วยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่เคยเป็นของผู้คัดค้านตามแนวอาคารของผู้ร้องด้านที่อยู่ติดกับที่ดินของผู้คัดค้านพิพากษาว่าผู้ร้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามแนวกำแพงอาคารของผู้ร้องด้านที่อยู่ติดกับที่ดินของผู้คัดค้าน หากแนวกำแพงดังกล่าว อยู่บนที่ดินของผู้คัดค้าน คือที่ดินโฉนดที่ 3 เลขที่ดิน10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพียงใด ให้ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครอบปรปักษ์ ให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงรายทำนิติกรรมแก้ไขทะเบียนผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดทั้งสองฉบับดังกล่าวตามแนวกำแพงอาคารของผู้ร้อง ในกรณีที่จำนวนเนื้อที่ดินเปลี่ยนแปลงไปจากโฉนดเดิม
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่
ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ที่ดินของผู้ร้องและของผู้คัดค้านอยู่ติดกัน ที่พิพาทมีเนื้อที่ 9.6 ตารางเมตร อยู่ในเขตที่ดินของผู้คัดค้าน ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบเปิดเผยติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ได้ความจากคำเบิกความของผู้ร้องตอบคำถามค้านของทนายผู้คัดค้านว่า ในวันที่เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่พิพาทระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านนั้น ผู้ร้องกับผู้คัดค้านได้ตกลงกันว่าในขณะนั้นยังไม่ทราบว่าฝ่ายใดรุกล้ำของฝ่ายใด หากเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแล้วปรากฏว่าฝ่ายใดรุกล้ำก็ให้คืนที่ดินให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง และข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนายถาวร กาญจนประดิษฐ์ พยานผู้คัดค้านว่า ในระหว่างที่เจ้าพนักงานที่ดินกำลังทำบันทึกการรังวัดและการระวังแนวเขตผู้ร้องได้พูดว่ายังไม่ทราบว่าที่ดินของใครรุกล้ำฝ่ายไหนต่อเมื่อทราบความจริงแล้วก็จะคืนให้แก่ฝ่ายถูกรุกล้ำ พยานในฐานะตัวแทนผู้คัดค้านได้ตกลง จากข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวแสดงเจตนาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีเจตนาจะครอบครองที่ดินเฉพาะที่เป็นของผู้ร้องจริง ๆ เท่านั้น ที่ผู้ร้องเจตนาครอบครองอย่างเป็นเจ้าของแต่หากเป็นของบุคคลอื่นผู้ร้องไม่มีเจตนาที่จะครอบครองและยึดถือเป็นของผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องไม่มีเจตนาที่จะครอบครองและยึดถือที่ดินของผู้คัดค้านเป็นของผู้ร้อง แม้ผู้ร้องจะครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ผู้ร้องก็ไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทของผู้คัดค้าน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง.

Share